fbpx
Home
|
คลิปข่าวทั่วไป

คดีดังสะท้านเมืองที่สุดของปี 2564

คดีดังสะท้านเมืองที่สุดของปี 2564
บิ๊กหิน เสนอ ผบ.ตร.คดีผกก.โจ้ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ตั้งกก.สอบวินัยร้ายแรง ปมถุงคลุมหัวรีดเงิน2ล้านจนคนตาย ผบ.ตร.สั่งให้ออกจากราชการไว้แล้ว

 

พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ มีบันทึกข้อความด่วนที่สุด 001(จตช)/280 เรียน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เรื่อง ขอให้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และให้ข้าราชการตำรวจออกจากราชการไว้ก่อน

 

หลัง ผบ.ตร.มอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ ถูกร้องเรียนว่าได้ทำร้ายร่างกายโดยการทรมาน นายจิระพงศ์ ธนะพัฒน์ ผู้ต้องหาคดียาเสพติด เพื่อเรียกเงิน จำนวน 2 ล้านบาท จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต และอ้างเหตุว่าผู้ต้องหาเสพยาเกินขนาด เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5ส.ค.2564 และต่อมา ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์ มีหนังสือ ภ.จว.นครสวรรค์ ได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์โดยกล่าวหาว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ระบุพฤติการณ์ตามคลิปวีโอที่ปรากฎตามสื่อโซเชียลต่างๆ

 

กรณีดังกล่าว ถือว่า พ.ต.อ.ธิติสรรค์ฯ มีพฤติการณ์เข้าข่ายเป็นข้าราชการตำรวจต้องหาว่ากระทำความผิดคดีอาญา และมีพฤติการณ์อันเป็นความร้ายแรง สร้างความเสื่อมเสียต่อภาพลักษณ์ของ ตร. โดยเป็น ผู้รักษากฎหมาย แต่กลับกระทำตนละเมิดกฎหมายโดยใช้อำนาจหน้าที่ราชการ ถ้าคงอยู่ในหน้าที่ราชการต่อไป จะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้น

 

โดยที่การสอบสวนพิจารณาทางวินัยและอาญาอาจมีความสลับชับซ้อน และการพิจารณาอาจไม่เสร็จสิ้นโดยเร็ว จึงเห็นควรมีคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง และมีคำสั่งให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ออกจากราชการไว้ก่อน ตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 86 ,95และตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ.2547ข้อ 3 (28) ต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลัง พล.ต.อ.วิสนุ มีบันทึกข้อความประกอบความเห็นดังกล่าวเสนอผบ.ตร.เมื่อคืนนี้ ทาง ผบ.ตร.ได้มีหนังสือคำสั่งให้ ผกก.โจ้ ออกจากราชการไว้ก่อนทันที พร้อมสั่งการให้เร่งรัดติดตามตัวมาดำเนินคดีท่ามกลางกระแสข่าวว่า ผกก.โจ้ ได้เดินทางหลบไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว อย่างไรก็ดีในช่วงเช้าวันนี้ (25 ส.ค.) พล.ต.อ.วิสนุ จะเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์เพื่อลงไปติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าวเนื่องจากยังมีนายตำรวจที่เกี่ยวข้องอีกมากกว่า10นายคาดว่าจะมีความชัดเจนทั้งคดีอาญาและวินัยในวันนี้

 

“ลุงพล”ถูกจับกุมคดี”น้องชมพู่”ผบ.ตร.มั่นใจพยานหลักฐาน

 

ตำรวจฝ่ายสืบสวนสน.ปทุมวัน ได้ควบคุมตัว นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของ น้องชมพู่ เพื่อขึ้นรถผู้ต้องขังไปยังกองบินตำรวจเพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์ต่อไปที่ สภ.กกตูม เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมี นางสมพร หรือ ป้าแต๋น ภรรยาและทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ขึ้นรถไปด้วย โดยลุงพลมีสีหน้าเครียดเล็กน้อยและไม่ยอมตอบคำถามสื่อมวลชนที่พยายามสอบถามหลายประเด็น เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สน. ปทุมวันเปิดเผยว่าลุงพล ให้การปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา และปฏิเสธที่จะให้การในชั้นสอบสวนที่สน.ปทุมวันโดยอ้างว่าจะไปให้ปากคำที่สภ.กกตูมเท่านั้น

 

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อช่วงเช้าลุงพล พร้อมด้วยป๋าแต๋นได้เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยรถแท็กซี่ เพื่อจะมอบตัวกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าคุมตัวบริเวณห้องโถงอาคาร 1 ตร.พร้อมกับอ่านหมายจับให้ลุงพลฟังซึ่งลุงพลได้ให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวน ก่อนจะถูกคุมตัวไปบันทึกการจับกุมที่ สน.ปทุมวัน โดยยังไม่มีการเปิดใจใดๆกับสื่อมวลชน

 

ทางด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยัน ตำรวจดำเนินคดีกับ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล ผู้ต้องหาในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ตามพยานหลักฐาน เพียง 1 คน ซึ่งยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสื่อมวลชนได้ แต่พยานหลักฐานที่มี ยืนยันว่า ตำรวจรวบรวมทั้งจากหลักพฤติกรรมมนุษย์ ประจักษ์พยาน วัตถุพยาน หลักฐานวิทยาศาสตร์ นิติวิทยาศาสตร์ รวมไปถึง ไสยศาสตร์ ความเชื่อต่าง ๆ เพียงพอที่จะขอศาลอนุมัติหมายจับ 3 ข้อหา คือ ข้อหา พรากผู้เยาว์ฯ, ทอดทิ้งเด็ก เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และกระทำการใด ๆ แก่ศพที่อาจผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป

 

ส่วนจะมีการแจ้งข้อหาใดเพิ่มเติม หรือ พยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคคลใดอีกหรือไม่ ตำรวจจะเดินหน้าสืบสวนสอบสวนต่อเนื่อง พร้อมระบุ คงไม่จำเป็นที่ต้องไปสอบสวนเอง เพราะมั่นใจในทีมสืบสวน พร้อมเปรียบเทียบว่า ขณะนี้ เข้าสู่รอบสุดท้ายของการแข่งขันฟุตบอลแล้ว ซึ่งตราบใดที่ศาลยังไม่ตัดสิน ก็ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ ตำรวจจะทำให้ดีที่สุด แต่คดียังไม่จบ เนื่องจาก ในการพิจารณาคดี ยังมีอีกหลายขั้นตอน โดยในชั้นอัยการและชั้นศาล อาจมีความเห็นแตกต่างกับตำรวจ

 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยังมองว่าคดีนี้ เป็นเพียงคดีฆาตกรรมปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติ คือ การไต่สวนในโลกโซเชียล เนื่องจาก ภูมิคุ้มกันในโลกโซเชียลไม่พอ จนเกิดปรากฎการณ์ประหลาดในสังคม และเห็นว่า หากหยุดติดตามคดีบ้าง ก็จะให้สุขภาพจิตดีขึ้น ส่วนจะมีการแถลงรายละเอียดในคดีนี้อีกหรือไม่ ขอหารือร่วมกับพนักงานสอบสวนก่อน หากเห็นว่าไม่จำเป็นคงจะไม่มีการแถลง ส่วนที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่าการออกหมายจับช่วงนี้เพื่อกลบข่าวการอภิปรายงบประมาณในสภาหรือไม่ต้องไปถามคนที่โยงเรื่องนี้ว่าเอาพื้นฐานความคิดนี้มาจากไหน

 

ตำรวจเร่งติดตามตัวมือปืนยิงพนักงาน 7-11 ต่อเนื่อง รพ.สนาม ปทุมธานี -ญาติเตรียมรับศพ พร้อมวอนตำรวจ เร่งจับกุมโดยเร็ว

พี่สาวของ นายรัฐวิทย์ สันติคุปตพง อายุ 32 ปี พนักงานร้านสะดวกซื้อภายในซฮยลาดพร้าว 25 ที่ถูกยิงเสียชีวิต เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา เดินทางเข้าพบ พนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อให้ปากคำ กับตำรวจ โดยเบื้องต้นเปิดเผยว่า น้องชาย มาทำงานกะดึกที่ร้านสะดวกซื้อดังกล่าวได้ประมาณ 2 เดือน และทราบว่า ในช่วงก่อนเกิดเหตุ ได้มีชายคนหนึ่งเข้ามาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วออกไป นั่งดื่มบริเวณใกล้กับร้าน จากนั้นได้กลับเข้ามาอีกครั้ง ก่อนที่จะทำขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตกแตก ผู้เสียชีวิต ได้บอกกับชายคนดังกล่าวว่า ต้องจ่ายค่าเสียหาย และมีปากเสียงกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีการจ่าย จากนั้นทราบว่าคนร้ายได้กลับไปนำปืนเข้ามาก่อเหตุยิง นายรัฐวิทย์ ภายในร้านจนถึงแก่ความตาย ก่อนจะหลบหนีไป ญาติอยากจะให้ตำรวจจับตัวให้ได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ หลังจากเกิดเหตุที่ร้านสะดวกซื้อจุดนี้แล้ว คนร้ายยังไปก่อเหตุที่ รพ.สนาม จ.ปทุมธานี แล้วก็หลบหนีไปได้ ในเรื่องดังกล่าว สร้างความตกใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก หลังจากนี้ จะไปรับศพน้อง ที่ สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ ก่อนจำนำศพกลับมาบำเพ็ญกุศลที่วัดเสมียนนารี

 

ขณะเดียวกันวันนี้ พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน. พหลโยธิน ได้เรียกประชุมเร่งรัดติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีพร้อมจะประสานข้อมูลกับ ตำรวจ สภ.ประตูน้ำจุฬาลงกรณ์ พร้อมกับมีการเชิญเพื่อนพนักงานมาสอบปากคำ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงการก่อเหตุครั้งนี้

 

ขณะเดียวกัน บรรยากาศ ภายในร้านสะดวกซื้อภายในซอยลาดพร้าว 25 จุดที่เกิดเหตุ เช้าวันนี้ได้มีการเปลี่ยนกะพนักงานทั้งหมด และเปิดให้บริการตามปกติ และมีประชาชน มาซื้อของตามปกติ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นพนักงานไม่ทราบ และอยากให้ตำรวจ ติดตามตัวคนร้ายมาลงโทษให้ได้โดยเร็ว

 

ผบ.ตร. เผย คดี “บาส” 6 รุม 1 ว่ากันไปตามกฎหมาย ใครคิดว่าไม่เป็นธรรมร้องทุกข์ได้ ย้ำไม่ปล่อยคนทำผิด

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่นายณัฐวุฒิ พึ่งฤกษ์ดี หรือบาส ใช้มีดสปาต้า และมีดปลายแหลม ต่อสู้กลุ่มคู่อริ 6 คน ที่เข้ามารุมทำร้าย จนอีกฝ่ายเสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บสาหัส 1 คน และศาลอนุญาตให้ผู้ต้องหาได้รับประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์ 5 แสนบาท ว่า สำหรับคดีนี้ คนที่ทำผิดก็ว่ากันไปตามกระบวนการทางกฏหมาย ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ไม่ได้ปล่อยปะละเลย ดำเนินคดีแจ้งข้อหาไปแล้ว พร้อมฝากไปยังประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ว่าการใช้อารมณ์ในการกระทำสิ่งใดก็ตาม ไม่เคยจบสวย สุดท้ายก็ต้องตามมาด้วยความเศร้าเสียใจ หวังว่าคดีของบาส จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกๆคน และหวังว่าจะไม่เกิดคดีแบบนี้อีก

 

ส่วนฝ่ายใดที่คิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมในคดีนี้ สามารถไปร้องเรียนที่กองบัญชาการตํารวจนครบาลได้ทุกเวลา ตนเองได้กำชับกับทางพลตำรวจโทสำราญ นวลมา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เอาไว้แล้ว ซึ่งการให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นสิ่งที่ตำรวจต้องทำอยู่แล้ว อยากให้ทั้งสองฝ่ายสบายใจได้

 

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝากไปยังแก๊งวัดบางม่วง ที่ออกมาโพสต์ไล่ล่าตัวบาส และแม่ของบาส และใช้คำพูดในลักษณะที่จะเอาคืน เพื่อแก้แค้นให้แก่ผู้ที่เสียชีวิต ว่าต้องอยู่กันให้เรียบร้อย ตำรวจจะไม่ปล่อยให้ใครก็ตามทำผิดกฏหมาย หากฝ่าฝืน ดำเนินคดีไม่มีละเว้น

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebookhttps://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitterhttps://twitter.com/innnews

Youtubehttps://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTokhttps://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account@innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube