ทนายอั๋น” บุกดีเอสไอ เร่งคดีฮั้วเลือก สว. ชี้จังหวะยุบสภา
วันนี้ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อขอให้เร่งรัดการดำเนินคดีอาญาฐานอั้งยี่และฟอกเงิน กรณีขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พร้อมเรียกร้องให้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม หลังดีเอสไอส่งสำนวนฟ้องไปแล้วเพียง 8 ราย โดยย้ำว่าคดีนี้ไม่ควรถูก “ตัดจบ” เพียงเท่านี้
ทนายอั๋น ระบุว่า การเข้ายื่นหนังสือครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลง จากการประกาศยุบสภา ซึ่งทำให้อิทธิพลทางการเมืองที่อาจเข้ามาแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จึงมองว่าเป็น “จังหวะสำคัญ” ที่ดีเอสไอควรเดินหน้าคดีตามพยานหลักฐานที่มีอยู่อย่างตรงไปตรงมา เพื่อพิสูจน์ความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ
แม้ดีเอสไอจะสรุปสำนวนคดีอั้งยี่–ฟอกเงิน และส่งฟ้องผู้ต้องหา 8 รายต่ออัยการคดีพิเศษแล้ว แต่ทนายอั๋นยืนยันว่า จากหลักฐานเส้นทางการเงินที่ตนครอบครอง พบว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องมากกว่านั้นอย่างชัดเจน การกล่าวโทษเพียง 8 รายจึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า คดีฮั้วเลือก สว. ในส่วนความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. อาจถูกล้มคดีในช่วงหลังการยุบสภา ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบางประการแล้ว
ทนายอั๋นยังเปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลว่า คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง คณะที่ 36 มีความเห็นในสำนวนคดีฮั้วเลือก สว. และเสนอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหญ่แล้ว ขณะที่ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 เคยมีความเห็นให้ดำเนินคดีกับบุคคลมากถึง 229 ราย
แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า กกต. จะสั่งฟ้องจริงกี่ราย โดยเชื่อว่าจะมีการคัดแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกดำเนินคดี และกลุ่มที่ถูกตัดออกจากกระบวนการ โดยเฉพาะบุคคลที่ไม่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหรือผู้บริหารพรรคบางพรรค
นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตถึงบทบาทของประธาน กกต. คนใหม่ ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากสมาชิกวุฒิสภา ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์เป็นกรรมการ กกต. มาก่อน โดยมองว่าอาจส่งผลต่อทิศทางการพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว. พร้อมเรียกร้องให้สังคมจับตาว่า คดีดังกล่าวจะถูกล้มภายในสิ้นปี 2568 หรือไม่
ในส่วนพยานหลักฐานทางการเงิน ทนายอั๋นได้นำเอกสารและผังเส้นทางการเงินของขบวนการฮั้วเลือก สว. ในจังหวัดอำนาจเจริญมายื่นประกอบการร้องเรียน โดยระบุว่า บุคคลอักษรย่อ “ญ.” มีการโอนเงินให้ กกต. รวม 870,000 บาท ระหว่างวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ถึง 28 มกราคม 2568
โดยมีการโอนก้อนใหญ่ 500,000 บาท เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 อีกทั้งยังมีความเชื่อมโยงทางการเงินกับผู้ต้องหา 8 รายในคดีอั้งยี่–ฟอกเงิน รวมถึงนักการเมืองอักษรย่อ “ช.” ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน
ทนายอั๋นอ้างอีกว่า บุคคลอักษรย่อ “ญ.” ถือเป็นมือขวาของผู้มีอิทธิพลในจังหวัดอำนาจเจริญ ส่วนบุคคลอักษรย่อ “ร.” เป็นมือซ้าย ทำหน้าที่กระจายเงินให้ผู้สมัคร สว. และ สว.สอบตก โดย “ร.” รับโอนเงินมาจาก “ญ.” อีกทอดหนึ่ง และยังมีข้อมูลว่าทำหน้าที่เป็นฝ่ายการเงินให้พรรคการเมืองบางพรรคในภาคอีสานด้วย
ขณะเดียวกัน ยังพบการโอนเงิน 500,000 บาท จากบุคคลอักษรย่อ “ญ.” ไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ซึ่งสอดคล้องกับไทม์ไลน์การสมัครและกิจกรรมทางการเมือง โดยก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 เคยมีความเห็นให้ดำเนินคดีกับ สส. รายดังกล่าว
รวมถึงบุคคลอักษรย่อ “ร.” และ “ญ.” แล้ว แต่กลับไม่ปรากฏชื่อในสำนวนคดีอาญาอั้งยี่–ฟอกเงินของดีเอสไอและอัยการ จึงเกิดข้อสงสัยว่าบุคคลเหล่านี้ถูกตัดออกจากสำนวน หรือถูกกันไว้เป็นพยาน
ท้ายที่สุด ทนายอั๋นย้ำว่า ดีเอสไอไม่ควรยุติคดีไว้เพียงผู้ต้องหา 8 ราย แต่ควรออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินในจังหวัดอำนาจเจริญอย่างน้อย 15 ราย
พร้อมชี้ว่านี่คือช่วงเวลาที่การเมืองแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้น้อยที่สุด และเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะสามารถยืนหยัดทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระและยึดหลักนิติธรรมได้หรือไม่
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





