ส่องแคนดิเดตนายกฯ 3 ก๊กใหญ่ ตรงปก! หรือ หมกเม็ด
“สามขั้วอำนาจ สามก๊ก สามพรรคการเมือง ในชั่วโมงนี้ คงหนีไม่พ้น พรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาชน นี่คือสมรภูมิการเมืองไทยที่กำลังร้อนระอุก่อนเข้าสู่วันเลือกตั้งใหญ่ 8 กุมภาพันธ์ 69
“แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” จึงเป็นตัวแปรสำคัญของแต่ละพรรคที่จะสู้ศึกเลือกตั้งนี้ การช่วงชิงอำนาจ ไม่ใช่แค่การแข่งกันที่ตัวบุคคล แต่เป็นการวัดกันที่ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนมีต่อสัญญาประชาคมที่พรรคการเมืองมอบให้
เริ่มจาก ค่ายน้ำเงิน พรรคภูมิใจไทย ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ที่ขณะนี้ยังคงเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวในบัญชีของพรรค ซึ่งมาพร้อมกับสโลแกน ‘พูดแล้วทำพลัส’ เน้นการสานต่อและยกระดับผลงานในช่วงที่ผ่านมา เน้นการผลักดันนโยบายที่ทำได้จริงและสัมผัสได้
เช่น การสานต่อโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน การยกระดับ มาตรการทางสาธารณสุขและการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจผ่านนโยบายที่เข้าถึงประชาชนโดยตรง เช่น พักหนี้ (อ้างอิงจากนโยบายก่อนหน้า และการปรับเป็น ‘พลัส’)
การมีแคนดิเดตเพียงคนเดียว เป็นการแสดงความมั่นใจในอำนาจและการสนับสนุนที่สะสมมา หรือเป็นยุทธศาสตร์ที่เปิดโอกาสให้เกิดการ ‘เจรจาข้ามขั้ว’ ในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างยืดหยุ่นหลังการเลือกตั้ง
จุดที่ประชาชนจับตาคือ พลังของ ‘บ้านใหญ่’และกระแส ‘ความเป็นผู้นำ’ ที่ปรากฏในช่วงวิกฤตชายแดน จะสามารถแปรเปลี่ยนเป็นคะแนนเสียงที่จะทำให้พรรคเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่” แต่ นายกฯ อนุทิน ก็ยังมีไปทาบทามอีก 2 คน ที่ดึงมาเป็นรัฐมนตรี แต่อยากให้มาเสริมทัพ เพื่อให้ครบ 3 คน ตามบัญชีแคนดิเดต คือ “เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” และ “ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ซึ่งทั้ง 2 คน ยังไม่ตัดสินใจ
ด้านค่ายสีแดง พรรคเพื่อไทย เปิดตัว 3 แคนดิเดตฯ ภายใต้แคมเปญ ‘ยกเครื่องประเทศไทย’ โดยมีไฮไลต์ คือ ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ บุตรชายของอดีตนายกฯ สมชาย และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือทายาทตระกูลชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์ ที่ถูกดันเป็นแคนดิเดตเบอร์หนึ่ง ร่วมกับ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ นักบริหารที่มีประสบการณ์
นโยบายเด่นที่ประกาศ เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และการสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับคนไทย อาทิ นโยบาย ‘บ้านเพื่อคนไทย’, ‘รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย’, และนโยบาย ‘หวยเกษียณ’ แต่การส่ง ‘ทายาท’ ลงสนามเบอร์หนึ่ง ถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ที่เน้นความผูกพันกับฐานเสียงเดิม
และเป็นการยืนยันความเป็น ‘เจ้าของพรรค’ ของตระกูลชินวัตร-วงศ์สวัสดิ์ คำถามสำคัญ คือ โปรไฟล์ใหม่ของแคนดิเดตเบอร์หนึ่งจะตอบโจทย์ประชาชนที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงยุทธศาสตร์ในการรวมศูนย์อำนาจทางการเมือง”
ขณะค่ายสีส้ม พรรคประชาชน ที่มากับการปรับทัพใหญ่ ชู 3 แคนดิเดตฯ นำโดย เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบัน ร่วมกับ ไหม ศิริกัญญา ตันสกุล และ วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (อาจารย์ต้น) โดยเน้นการสร้างความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและการปฏิรูปโครงสร้าง
ภายใต้สโลแกน ‘ไทยไม่เทา ไทยเท่ากัน ไทยทันโลก’ โดยเน้นการ กำจัดทุจริตคอร์รัปชัน การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้า เพื่อลดการผูกขาด และการตั้ง ศูนย์อาชญากรรมไซเบอร์อาเซียน
การเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคและแคนดิเดต สะท้อนถึงการ ‘ประนีประนอม’ ในบางมิติ เพื่อสร้างความพร้อมในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่? แม้จะยังคงชูนโยบายเชิงอุดมการณ์เข้มข้น แต่การนำทีมโดยนักเศรษฐศาสตร์และนักบริหารรุ่นใหม่ สะท้อนความพยายามที่จะขยายฐานเสียงไปยังกลุ่มที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ต้องการความขัดแย้งที่รุนแรงเกินไป การปฏิรูปโครงสร้างที่ประกาศไว้จะสามารถเดินหน้าได้จริงในสภาหรือไม่ คือโจทย์ใหญ่ที่ต้องตอบ
ดังนั้น การเลือกตั้ง 8 กุมภาพันธ์ 69 คือการตัดสินใจครั้งสำคัญระหว่าง 3 แนวทางหลัก คือ นวัตกรรมทางการเมืองของคนรุ่นใหม่ (พรรคประชาชน), การกลับมาของระบอบเศรษฐกิจที่มีผู้นำเข้มแข็ง (พรรคเพื่อไทย), และ พลังแห่งการปฏิบัติการและเสถียรภาพ (พรรคภูมิใจไทย) แคนดิเดตนายกฯ ทั้งหมดที่เปิดตัวมา สะท้อนถึงยุทธศาสตร์ที่ถูกวางแผนมาอย่างถี่ถ้วน
“ไม่ว่าจะเป็นการชูทายาท ชูทีมปฏิรูป หรือชูผู้นำที่พร้อมทำงานต่อ คำมั่นและนโยบายที่พรรคการเมืองให้ไว้ จะเป็นเครื่องมือให้ประชาชนใช้พิจารณาว่า ผู้ท้าชิงเหล่านี้ ‘ตรงปก’ กับความหวังของประเทศจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่ ‘หมกเม็ด’ ยุทธศาสตร์เพื่อช่วงชิงชัยชนะทางการเมือง ท้ายที่สุดแล้ว อำนาจในการตัดสินใจอยู่ที่ปลายนิ้วของประชาชนทุกคน”
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





