ศึกไทยกัมพูชา ตอบโต้ตามสัดส่วน ไม่เกินเหตุปกป้องอธิปไตย
ไทยย้ำจุดยืน 5 ข้อ ปกป้องอธิปไตย ภายใต้กฎหมายสากล และคุ้มครองประชาชนจากการรุกราน โดยตอบโต้กัมพูชาตามสัดส่วน ไม่เกินเหตุ แยกเป้าหมายการโจมตีทางการทหารชัดเจน ต่างจากกัมพูชาที่ใช้อาวุธหนัก หวังทำลายทรัยพ์สินประชาชน และละเมิดกฎสิทธิมนุษยชน มีการยิงจรวดกว่า 50 นัดเข้าใส่พื้นที่พลเรือนและโรงพยาบาลพนมดงรัก ต้องเร่งอพยพผู้ป่วยออกจากพื้นที่
สถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดต่อเนื่อง วันที่ 3 โดยยังเกิดเหตุปะทะตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัด ล่าสุด ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา
นำโดยพลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ออกมาแถลงถึงภาพรวมสถานการณ์ พร้อมย้ำจุดยืน 5 ข้อของประเทศไทยต่อเหตุปะทะที่เกิดขึ้น คือ
1. ประเทศไทยไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่มในการรุกรานหรือการปฏิบัติการทางทหาร แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาที่เป็นผู้ริเริ่มในการรุกรานเข้ามามายังประเทศไทยทำให้ประเทศไทยต้องกระทำการปกป้องอธิปไตยของตัวเอง
2. ในการปฏิบัติการทางการทหารที่ผ่านมา ประเทศไทยดำเนินการอยู่ภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยยึดสิทธิในการป้องกันตนเอง
3. พลเรือนต้องปลอดภัยเป็นเป้าหมายสูงสุด
4. การดำเนินการครั้งนี้ของทัพไทย เป็นทางเลือกสุดท้ายในการปฏิบัติการ ไม่ใช่ทางเลือกแรก
5.ประเทศไทยยึดถือสันติภาพ แต่จะไม่ยอมให้ใครมาละเมิดอธิปไตย โดยใช้กำลังเท่าที่จำเป็นและได้สัดส่วน ไม่เกินกว่าเหตุ ที่สำคัญการ คือการแยกแยะเป้าหมายทางทหารและพลเรือน ซึ่งต่างจากรูปแบบการโจมตี ของฝ่ายกัมพูชาที่ใช้อาวุธที่ส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน
พลเรือตรีสุรสันต์ ย้ำว่า การดำเนินการของไทยมีเป้าหมายเพื่อหยุดยั้งการรุกราน และลดขีดความสามารถกองกำลังกัมพูชาไม่ให้โจมตีพื้นที่ฝั่งไทยได้ โดยยังคงให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของประชาชน และพยายามลดผลกระทบต่อพลเรือนให้มากที่สุด
พร้อมย้ำว่า “ประเทศไทยต้องการสันติภาพ แต่ต้องมากับความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนไทย”
สำหรับภาพรวมความเสียหาย จากการปะทะตลอดชายแดนทั้งหมด 7 จังหวัด ส่งผลกระทบกว้างขวางต่อบ้านเรือนและชีวิตประชาชน โดยมีผู้ต้องอพยพเข้าสู่ศูนย์พักพิงแล้วกว่า 400,000 คน
ขณะที่สถานศึกษากว่า 700 แห่ง ต้องปิดการเรียนการสอน ชั่วคราวจากความไม่ปลอดภัย
โดยกองทัพ ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานท้องถิ่นดูแลพื้นที่ รวมถึงดูแลทรัพย์สินและสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านที่ต้องอพยพออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน
อย่างไรก็ตาม เช้านี้ มีเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มเติม โดยกองทัพภาคที่ 2 รายงานว่า เมื่อเวลา 07.15 น. ทหารกัมพูชา ได้ยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 กว่า 50 นัด เข้าสู่พื้นที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ กระสุนบางส่วนตกใกล้โรงพยาบาลพนมดงรักถึง 5 ลูก ทำให้หน่วยทหารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งอพยพผู้ป่วย บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนทั้งหมดเข้าสู่พื้นที่กำบังเพื่อความปลอดภัย
กองทัพบก ออกแถลงการณ์ประณามการโจมตีดังกล่าว โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยไทยอย่างร้ายแรง และขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากลอย่างชัดเจน
สำหรับแนวรบตลอดชายแดน ยังพบการปะทะต่อเนื่องในหลายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ ในพื้นที่ช่องสายตะกู มีการปะทะเป็นระยะ แต่ยังไม่มีรายงานการสูญเสีย
ส่วนจังหวัด สุรินทร์ พบจุดปะทะสำคัญถึง 5 แนวรบ ทั้งช่องจอม ช่องเปรอ ช่องระยี ปราสาทคนา ปราสาทตาควาย ช่องกร่าง และปราสาทตาเมือนธม ซึ่งส่วนใหญ่ถูกยิงด้วยอาวุธประจำกาย ปืนใหญ่ และกระสุน ค. โดยยังไม่พบการสูญเสีย แต่สถานการณ์ยังไม่ยุติลง
จังหวัด ศรีสะเกษ มี 4 แนวรบหลัก โดยเฉพาะในพื้นที่พระวิหาร–ผามออีแดง–ห้วยตามาเรีย รวมถึงภูมะเขือ และช่องสะงำ หลายจุดมีการปะทะอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต แต่สถานการณ์ยังคงตึงเครียด
และที่จังหวัด อุบลราชธานี ทั้งแนวรบช่องบกและช่องอานม้า มีการยิงปะทะเป็นระยะ ทั้งอาวุธเบาและปืนใหญ่ โดยยังไม่พบการสูญเสีย แต่กองทัพยังยืนยันให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง และติดตามคำสั่งอพยพอย่างใกล้ชิด
ขณะที่ กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) ซึ่งเป็นพื้นที่ รับผิดชอบของกองทัพเรือ ได้เปิดยุทธการ “ตราดปราบปรปักษ์” ได้สนธิกำลังรบในทุกมิติทั้ง น้ำ-ฟ้า-ฝั่ง ในการดูแลรักษาอธิปไตยพื้นแผ่นดินไทย
โดยเรือหลวงเทพา ได้เข้าพื้นที่ปฏิบัติการทันที ในการดำเนินการตรวจการและลาดตระเวนตลอด 24 ชั่วโมง กำลังพลทุกนายถูกยกระดับให้สู่สภาวะการณ์ พร้อมรบ อาวุธประจำเรือทุกชนิดถูกเตรียมพร้อมเต็มกำลัง โดยสนับสนุนกำลังทางบก เพื่อยึดพื้นที่ บ้านสามหลัง ที่ บ.หนองรี
ฝ่ายไทยทำลาย ฐานที่มั่นกัมพูชา ไปแล้ว 80 % โดยกำลังจากนาวิกโยธิน จะกระทั้งเผาทำลายบ้านทั้งสามหลังได้ รวมถึงตัวบังเกอร์ที่คาดว่า จะใช้ในการเก็บยุทโธปกรณ์และอมภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งก็ถูกทำลายไปแล้วด้วยเช่นกัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





