Warroom IAC เดินหน้าหาพันธมิตร ร่วมปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์
เสียงร้องเรียนจากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มูลค่าความเสียหายรวมในแต่ละปีสูงถึงหลายพันล้านบาท
ไม่เพียงแต่สร้างความเดือดร้อนให้ครอบครัวผู้เสียหาย แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินและการบังคับใช้กฎหมายของประเทศ
ล่าสุด Warroom IAC หรือ “ศูนย์บัญชาการปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมทางการเงินข้ามชาติ” ได้เดินหน้าแผนยุทธการ “MONEY CASH BACK” สามารถอายัดบัญชีม้าได้อีกกว่า 1 ล้านบาทในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่ไทยเอาจริงเอาจังกับการสกัดกั้นเส้นทางการเงินของเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์
ปัญหาที่ฝังรากลึก ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ บัญชี “ม้า” หรือบัญชีที่เปิดโดยบุคคลอื่นเพื่อรับ–โอนเงิน เป็นหัวใจสำคัญในการฟอกเงิน ซึ่งที่ผ่านมา แม้มีมาตรการปิดบัญชีและติดตาม แต่เครือข่ายก็ยังหาช่องทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัญชีคนต่างชาติ หรือการโยกย้ายเงินผ่านคริปโต
ความร่วมมือในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย, ปปง., สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารพาณิชย์ ร่วมตั้งระบบเตือนภัยอัตโนมัติ ตรวจจับธุรกรรมที่มีความผิดปกติ และประสานงานเพื่ออายัดบัญชีได้รวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกัน กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ ได้เร่งปิดเบอร์ผีที่ถูกใช้โทรหลอกลวงอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์ให้ประชาชน “อย่าเป็นม้า” และหากพบการโอนเงินผิดปกติสามารถแจ้งอายัดได้ทันทีผ่านระบบ สายด่วน 1441 และแอป Thaipolice Online ซึ่งช่วยให้เหยื่อมีโอกาส ได้“เงินคืน” ภายในเวลาอันสั้น
ส่วนความร่วมมือระดับนานาชาติ เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือความร่วมมือระหว่างประเทศ เนื่องจากฐานปฏิบัติการของแก๊งจำนวนมากอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา เมียนมา และ สปป.ลาว การที่หน่วยงานไทยลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อตรวจสอบ “แหล่งกบดาน” และเส้นทางการเงิน เป็นก้าวที่สำคัญ
ในปีที่ผ่านมา ไทย–กัมพูชา ได้จัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ต้องสงสัย และมีการส่งตัวผู้กระทำผิดกลับประเทศหลายราย ขณะที่ความร่วมมือกับจีน ก็มีการแชร์ข้อมูลเส้นทางการเงินและบัญชีที่โยงกับเครือข่ายฟอกเงิน ทำให้การติดตามทรัพย์สินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อนาคตของการปราบปราม ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมไซเบอร์ชี้ว่า การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องใช้ Big Data และ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติของธุรกรรมทางการเงิน ร่วมกับการสร้างความรู้เท่าทันให้กับประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ
รัฐบาลยังเตรียมผลักดัน “MOU ความร่วมมืออาเซียน” เพื่อจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกลางด้านไซเบอร์ ที่สามารถติดตามและประสานงานคดีข้ามพรมแดนได้อย่างรวดเร็ว
สำหรับ ปฏิบัติการ “MONEY CASH BACK” คือหนึ่งในความพยายามแก้ปัญหาเชิงรุก ที่ไม่เพียงแต่อายัดบัญชีม้าและตัดเส้นทางการเงิน แต่ยังแสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้ลำพัง ต้องอาศัยทั้งความร่วมมือในประเทศ ความเข้มแข็งของระบบธนาคาร และการประสานกับนานาชาติอย่างใกล้ชิด
เพราะในที่สุดแล้ว ศึกกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือสงครามที่ต้องใช้ทั้ง ความเด็ดขาด–ความร่วมมือ–และความรู้เท่าทันของประชาชน ไปพร้อมๆ กัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





