อายัดบัญชีง่าย แต่ปลดล็อคยาก ชาวบ้านโอด! เดือดร้อนหนัก
เสียงสะท้อนจากประชาชนจำนวนไม่น้อยในช่วงนี้ คือความกังวลใจว่า “บัญชีธนาคาร” ที่ตนเอง ใช้ทำธุรกรรมในชีวิตประจำวัน อาจถูกอายัดโดยไม่รู้ตัว
แม้จะไม่เคยเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือการฟอกเงินก็ตาม เนื่องจากขณะนี้ มีประชาชนออกมาเคลื่อนไหวทางสื่อโซเชียล ว่า ถูกอายัดบัญชีทางธนาคาร
การอายัดบัญชี เกิดจากมาตรการของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องการสกัดเส้นทางการเงินของแก๊งมิจฉาชีพ โดยตำรวจไซเบอร์ ปปง. และธนาคารพาณิชย์ ร่วมกันติดตามเส้นทางการโอนเงิน เมื่อพบว่า
มีบัญชีใดเกี่ยวข้องกับ “บัญชีม้า” หรือรับโอนจากบัญชีต้องสงสัย ก็จะสั่งอายัดบัญชีต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เงินถูกยักย้ายถ่ายโอน
แต่ในทางปฏิบัติ มาตรการนี้กลับกระทบผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก หลายคนตื่นเช้ามาพบว่าบัญชีถูกระงับ ใช้งานไม่ได้ ทั้งที่เป็นเพียงการโอนเงินจากเพื่อนหรือทำธุรกรรมตามปกติ ความเดือดร้อน
จึงเกิดขึ้นทันที ไม่ว่าจะเป็นพนักงานที่รอรับเงินเดือน แม่ค้าพ่อค้าที่รอรับโอนจากลูกค้า หรือผู้ปกครองที่ต้องโอนค่าเล่าเรียนให้บุตร
อย่างกรณีเจ้าของร้านเสริมสวย ระบุว่าเมื่อ 7 เดือนก่อนได้รับโอนเงินจากลูกค้าจำนวน 1200 บาท หลังจากนั้นกลับ ถูกธนาคารอายัดเงินในบัญชีกว่า 100,000 บาท ซึ่งมารู้ตัว เมื่อช่วงเดือนเมษายน จะทำธุรกรรมทางออนไลน์ กลับถูกอายัดบัญชี เมื่อสอบถามไปที่ธนาคารจึงทราบว่าถูกอายัดบัญชี
เพราะมีส่วนเชื่อมโยงกับการรับเงินจากบัญชีม้า ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและที่ผ่านมา มีการติดตามเรื่องมาตลอด 7 เดือนแต่ยังไม่ได้รับการถอนอายัดบัญชี ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้
ทางด้าน นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า คณะทำงานได้กำหนดกลไกการพิจารณาตรวจสอบบัญชี แบบเร่งด่วนร่วมกัน เพื่อให้สามารถปลดล็อกบัญชีให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็พบว่า มีบางส่วนที่เป็นบัญชีม้า หวังใช้โอกาสนี้ขอปลดล็อก
จึงยืนยันว่า คณะทำงานมีกลไก ในการคัดแยกประเภท ส่วนกรณีที่ตรวจสอบแล้วพบว่า บัญชีที่ถูกแจ้งอายัดเป็นการแจ้งโดยตำรวจ ศูนย์ AOC จะไม่สามารถดำเนินการปลดล็อกให้ได้ เพราะเป็นการอายัดตามพยานหลักฐานที่ตำรวจพบว่า ต้องสงสัยเป็นบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เจ้าของบัญชีจะต้องเข้าแสดงตัว และนำพยานหลักฐานเข้าไปชี้แจงกับพนักงานสอบสวนด้วยตัวเองเท่านั้น
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เปิดเผยว่า มาตรการระงับบัญชีต้องสงสัย ถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการฟอกเงินและปิดกั้นเงินผิดกฎหมาย ซึ่งช่วยหยุดเส้นทางการเงินของคนร้าย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อระบบติดตามเส้นทางการเงินมีความเข้มข้นขึ้น จึงทำให้บัญชีของประชาชนสุจริตบางรายถูกผลกระทบในการโดนระงับบัญชีไปด้วย โดยเฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายเพิ่งมาแจ้งความย้อนหลัง
ทั้งนี้ จากความกังวลของพี่น้องประชาชนที่เกิดขึ้น ทาง บช.สอท. ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาที่เกิด จึงได้หารือกับสถาบันการเงินและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นที่เรียบร้อย และเห็นชอบร่วมกันเบื้องต้นว่า จะเร่งปรับแนวทางการอายัดบัญชีและกระบวนการปลดอายัด เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น กับประชาชนสุจริตโดยเร็ว และยืนยันว่าทุกฝ่ายมีเป้าหมายร่วมกันในการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ ข้อกังวลของประชาชน คือ “ความไม่แน่ใจ” ว่าใครเป็นคนสั่งอายัด ทำไมจึงโดน ทั้งที่ไม่มีส่วนรู้เห็นกับอาชญากรรม และเมื่อต้องการปลดอายัด ก็ต้องเดินทางนำเอกสาร ไปมาหลายหน่วยงาน บางรายรอนานนับเดือนกว่าบัญชีจะกลับมาใช้งานได้
และแม้ว่า มาตรการสกัดเส้นทางการเงินของแก๊งมิจฉาชีพจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่เสียงสะท้อนจากประชาชน ผู้บริสุทธิ์ นั้นชี้ให้เห็นว่า หากไม่มีเกณฑ์ชัดเจนหรือระบบตรวจสอบที่แม่นยำพอ ผู้บริสุทธิ์ก็อาจกลายเป็นเหยื่อซ้ำอีกชั้นหนึ่ง และโจทย์ใหญ่ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งหาคำตอบ คือจะทำอย่างไรให้ “การปราบปรามคนร้าย” เดินหน้าได้อย่างเต็มที่ โดยไม่สร้าง “บาดแผล” ให้กับประชาชนผู้สุจริต ที่เพียงแค่ต้องการใช้บัญชีธนาคารอย่างปกติสุขในชีวิตประจำวัน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





