“อนุทิน” รัฐบาลเสียงข้างน้อย 4 เดือนที่ต้องพิสูจน์ “พูดแล้วทำ”
แม้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะมีมติถึง 311 ต่อ 152 เสียง เห็นชอบ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จาก ส.ส.ทั้งหมดที่มีอยู่ 492 คน แต่ในความเป็นจริง รัฐบาลของ “อนุทิน” ก็ยังเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”
เพราะ MOA ระหว่างภูมิใจไทย กับ พรรคประชาชน ระบุชัด พรรคประชาชน จะไม่เข้าร่วมรัฐบาล 143 เสียงจะยังคงเป็นฝ่ายค้าน
รวมถึง”ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” ก็ย้ำกลางสภา ว่าตนเอง และพรรคจะไม่ร่วมรัฐบาล จะทำหน้าที่ในฐานะ “ผู้นำฝ่ายค้าน” โดยไม่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 ดังนั้น รัฐบาลที่มี “อนุทิน” เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีเพียง 146 เสียงเดิม ตามที่แถลงจัดตั้งรัฐบาล และลงนาม MOA เท่านั้น หรืออาจมีเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ตามเสียงโหวตของบางพรรค และงูเห่า ที่เทมาให้ แต่ก็ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา เพราะฝ่ายค้านจะมีขั้นต่ำเกิน 270 เสียง จาก พรรคประชาชน 143
และ จากเพื่อไทย ที่เหลือในวันโหวต ประมาณ 131 เสียง รัฐบาลภูมิใจไทย จะไม่สามารถผ่านกฎหมาย หรือผลักดันนโยบายใด ๆ ได้ หากไม่ทำตามข้อตกลง “นายกฯอนุทิน” ก็เปรียบเหมือนลูกไก่ในกำมือ ของพรรคประชาชน และคงอยู่ได้แค่ 4 เดือนตามข้อตกลง ส่วนจะทำผลงานอะไรได้บ้าง เกมการเมือง ในสภา และนอกสภา จะเข้มข้นมากน้อยเพียงใดต้องติดตามกันต่อไป
ในอดีตประเทศไทยเคยมี “รัฐบาลจากพรรคที่มี ส.ส.จำนวนน้อยนิดมาแล้ว” ในสมัย ของ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” เมื่อปี 2518 ซึ่งสมัยนั้น “พรรคกิจสังคม” มีส.ส.เพียง 18 ที่นั่ง กลับได้รับมติจากสภาถึง 135 เสียง ได้เป็นนายกรัฐมนตรี และต่อมาก็สามารถจัดตั้งรัฐบาล ด้วยการรวบรวมเสียงได้ 140 เสียง จาก 12 พรรคการเมือง แต่สุดท้าย พรรคที่มี ส.ส.น้อย ก็กลายเป็นรัฐบาลผสมเสียงข้างมากแต่แพ้ภัยการต่อรองภายใน จนต้องยุบสภาในปีถัดไป
จังหวะก้าวของรัฐบาล “อนุทิน” หลังจากนี้ จะไม่มีเวลาในการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์เฉลิมฉลองตำแหน่งใหม่ เพราะทุกวันของการทำงาน จะเป็นการนับถอยหลังไปสู่การยุบสภาตามข้อตกลงเท่านั้น
โดยประเด็นแรก ที่จะได้เห็นว่า จะเดินตามข้อตกลง หรือดมีการบิดพลิ้วกันหรือไม่ คือ ประเด็น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่ง วันที่ 10 ก.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติ ก่อนที่รัฐสภา จะดำเนินการแก้ไขตาม มาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งหากศาลวินิจฉัยว่า จำเป็น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยเร็ว
แต่หากวินิจฉัยว่า ไม่จำเป็น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย จำเป็นต้องจะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการ จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จ ในวาระของสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้โดยเร็ว
ส่วนการทำงานเรื่องอื่นๆ ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม “นายกฯหนู” และพรรคภูมิใจไทย ก็จำเป็นต้องเร่งทำ เพื่อฝากผลงานไว้ในอ้มอกอ้อมใจประชาชน เก็บคะแนนนิยมไว้ สำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งเรื่องที่น่าจะทำแต้มได้ง่ายที่สุด คือเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ที่รัฐบาลเพื่อไทยทิ้งเอาไว้ หากรัฐบาล “อนุทิน” หย่าศึกกัมพูชา หรือรบใหม่อีกรอบให้ได้ผลสัมฤทธิ์ ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกว่าไทยไม่เสียเปรียบ ไม่เสียดินแดน
และที่สำคัญที่สุด ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ก็เพียงพอสำหรับการเพิ่มคะแนนนิยมแล้ว และหากมีการประกาศทำรั้ว ทำกำแพงกั้นชายแดนไปเลย ก็จะยิ่งทำให้ประชาชนพึงพอใจกับรัฐบาลมากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ แม้จะมีเวลาทำงานอย่างน้อย 4 เดือน แต่หากทำเรื่องใหญ่แค่ปัญหาชายแดนกัมพูชาลุล่วง ส่วนเรื่องเศรษฐกิจ แค่ประคองตัวไม่ให้แย่ไปกว่าสมัยเพื่อไทย ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้น การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยของ “นายกฯหนู” แม้จะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ในการที่จะเดินตามกรอบของพรรคประชาชน และตีแต้มบวกให้ตัวเอง เพราะแค่รักษาสัจจะ รักษาคำมั่นสัญญาา ตามสโลแกนของพรรคตัวเอง “พูดแล้วทำ”
รวมถึงแก้ปัญหาชายแดน ให้จบ ใน 4 เดือนนี้ และไม่ทำอะไรกระโตกกระตาก จนน่าเกลียดกับคดีฮั้ว สว. และเขากระโดง ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการสร้างโอกาสให้ตัวเองในสนามเลือกตั้ง เพื่อจะกลับมาใหม่สานต่อผลงานในฐานะรัฐบาลเสียงข้างมาก หลังการเลือกตั้ง …
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





