Home
|
Video

ส่อง “อดีตรัฐบาลไทย” กับ “ศาลโลก”

 

 

จังหวะวันนี้ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่กรุงพนมเปญ ประชุมเป็นวันที่ 2 หลังเมื่อวานมีรายงานการสะดุดจากที่ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจที่ฝ่ายไทย ภายใต้การนำของ “นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย” ประธาน JBC โดย ทางฝ่ายไทยออกมาแถลงข่าวก่อน อยู่ ๆ “พล.อ.ฮุน มาเนต” นายกเขมร ได้ โพสต์FB ปฏิเสธกลไกการเจรจาระดับทวิภาคี อย่าง JBC โดย แสดงหนังสืออย่างเป็นทางการที่กัมพูชาเลือก กฎหมายระหว่างประเทศและสันติภาพ

 

โดยระบุว่า รัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อช่วยหาทางแก้ไขข้อพิพาทชายแดนในบริเวณปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และบริเวณมุมไบ หรือช่องบก-สามเหลี่ยมมรกตแล้ววันนี้ โดย “ฮุน มาเนต”อ้างว่า เมื่อ 63 ปีที่แล้ว วันที่ 15 มิถุนายน 2505 เป็นวันประวัติศาสตร์ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ

 

(ICJ) หรือ “ศาลโลก”ตัดสินว่า กัมพูชาชนะในประเด็นปราสาทพระวิหารทำให้น่าสนใจย้อนรอยกลับไปส่องดูว่า บทบาทท่าทีของ“รัฐบาลไทย” นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 ที่เกี่ยวข้อง กับปม “เขาพระวิหาร”ที่ไทยแพ้คดีต่อเขมร

 

ไล่เรียงตั้งแต่สมัยของ “รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์”อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขึ้นมาเป็นนายกวันที่ 9 ก.พ.2502 ก่อนที่ วันที่ 15มิ.ย.2505 ศาลโลกจะตัดสินคดี ที่หลังจากนั้น “จอมพลสฤษดิ์”เริ่มเจ็บป่วยเป็นระยะ ๆ และวันที่ 8 ธ.ค. พ.ศ.2506 ได้ถึงแก่อสัญกรรม โดยสมัยนั้นมีการชุมนุมของคนไทยประท้วงคำตัดสินของศาลโลก

 

ซึ่ง “จอมพลสฤษดิ์” ได้กล่าวปราศรัยทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเมื่อคำวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ตอนหนึ่งว่า “…ประชาชนชาวไทยจะระลึกอยู่เสมอว่าปราสาทพระวิหารของไทยถูกปล้นเอาไปด้วยอุปเท่ห์เล่ห์กลของคนที่ไม่รักเกียรติและไม่รักความชอบธรรม… เหตุการณ์นี้เป็นรอยจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไทยตลอดไป เสมือนหนึ่งแผลเป็นที่ใจของคนไทยทั้งชาติ” และ “ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านด้วยน้ำตา

 

แต่น้ำตาของข้าพเจ้าเป็นน้ำตาของลูกผู้ชายของเลือดของความคั่งแค้นและการผูกใจเจ็บไปชั่วชีวิต ทั้งชาตินี้และชาติหน้า…” ที่ทัศนะและอารมณ์ดังกล่าวจะยังคงหลงเหลือต่อมาเมื่อมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปราสาทพระวิหารหรือแม้แต่ในความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

 

ส่วน ครม. สมัยนั้นที่ “ถนัด คอมันตร์”เป็นรมว.ต่างประเทศ มีการประกาศไม่ยอมรับการตัดสินของศาลโลกมี มติ ครม. 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาด้วยการคืนเฉพาะตัวปราสาท โดยรัฐบาลไทยขณะนั้นและในเวลาต่อมายึดถือว่าคำพิพากษานี้มิได้ชี้ขาดในเรื่องแนวเส้นเขตแดนในบริเวณดังกล่าว แต่รัฐบาลกัมพูชาหลังจากนั้นยึดว่าศาลโลกได้พิพากษากำหนดเส้นเขตแดนบริเวณนั้นแล้ว (ตามแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยาม-ฝรั่งเศสที่กัมพูชาใช้ในการฟ้องคดี)

 

การตีความคำพิพากษาต่างกันนี้ทำให้ทั้ง 2 ประเทศอ้างสิทธิในพื้นที่บริเวณใกล้ตัวปราสาททับซ้อนกัน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่บริเวณเนินหรือเชิงเขาด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกของตัวปราสาท ปัญหาเส้นเขตแดนบริเวณนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาสืบต่อมา

 

ตัดภาพมา ปี 2550 ช่วง “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช”จุดประทุจากที่ เขมร เสนอต่อองค์การยูเนสโก ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 31 ณ เมืองไครสต์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ให้ขึ้นทะเบียน
ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งต่อมาจากที่ “นพดล ปัทมะ”รมว.ต่างประเทศ มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วม พ.ศ.2551กับเขมร ทำให้เขมรนำไปอ้าง จากนั้นรุกคืบดันแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาท

และนำมาสู่การเปิดฉากสงครามที่แนวรบปราสาทพระวิหาร ภูมะเขือ ตั้งแต่ปี51-ปี53 ที่ต่อมาถูกฝ่ายเขมรนำนำเรื่องเข้าสูการพิจารณาของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(UNSC)
ก่อนที่ UNSC จะโยนเรื่องให้อาเซียนเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือการเปิดฉากสงครามที่ปราสาทตาควาย ตาเมือนธม

 

กระทั้งในปี 2554 ช่วงปลาย “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”เขมรยื่นคำขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา ในคดีปราสาทพระวิหารที่ศาลโลกได้ตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505 ที่ต่อมา 18 ก.ค. 2554
ศาลโลกมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว โดยให้ไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว และไม่ให้ไทยขัดขวางการเข้าออกปราสาทพระวิหารโดยเสรีของกัมพูชา หรือการส่งเครื่องอุปโภคบริโภค ไปยังบุคลากรที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาที่อยู่ในปราสาทพระวิหาร ที่ “อภิสิทธิ์”ยืนยันภายหลังว่าชนวนขัดแย้ง “เขาพระวิหาร”มาจากกรยอมให้เขมร ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว

 

ต่อมาใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” พ.ย. 2556 ศาลโลกชี้ขาดเป็นเอกฉันท์โดยอาศัยการตีความคำพิพากษา เมื่อปี 2505 ที่ตัดสินไว้ว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดของยอดเขาพระวิหาร
และพื้นที่บริเวณปราสาทที่ไทยต้องถอนทหารนั้น คือยอดเขาพระวิหาร ซึง “นายกยิ่งลักษณ์” แถลงต่อมาว่า คำคัดสินของศาลโลกเป็นคุณต่อไทย.

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube