Home
|
คลิปข่าวทั่วไป

แมนยู ไร้แชมป์ สูญเสียรายได้เท่าไหร่..?

 

ฤดูกาล 2024-2025 ของ ปีศาจเเดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พุ่งชนความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง รูเบน อโมริม กุนซือ “ปีศาจแดง”กล่าวในช่วงพิธีการหลังจบเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2024-25 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุด ในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสโมสร ที่นอกจากจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย ยังจบด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 15 พลาดทั้งแชมป์ยูฟ่า ยูโรป้าลีก อดไปเล่นแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า

เรียกได้ว่าตกต่ำมากที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก หากไม่นับที่ตกชั้นจากลีกสูงสุดเมื่อ 50 ปีก่อน ในฤดูกาล 1973-1974 อีกทั้งยังแล้ว ยังต้องสูญเสียรายได้มหาศาล ในสภาวะที่สโมสรกำลังประสบปัญหาด้านการเงิน และขาดทุนติดต่อกันมาถึง 5 ปี

 

การแพ้สเปอร์สในนัดชิงที่ “ซาน มาเมส” เมืองบิลเบา ประเทศสเปน ไม่ได้แค่ตอกย้ำผลงานในสนามที่ย่ำแย่ เเละยังส่งผลไปยังหุ้นของแมนฯยูไนเต็ด ที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐทันที โดยในช่วงการเทรดหลังเวลาทำการ ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 6.12%

 

ข้อมูลจาก Finnomena ระบุว่า ผลประกอบการ แมนยูฯไนเต็ด ขาดทุนในช่วง 5 ปีหลังติดต่อกันรวมกว่า 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ปี 2020 รายได้ 509.04 ล้านดอลลาร์ ขาดทุน 23.23 ล้านดอลลาร์ , ปี 2021 รายได้ 494.12 ล้านดอลลาร์ ขาดทุน 92.22 ล้านดอลลาร์ , ปี 2022 รายได้ 583.20 ล้านดอลลาร์ ขาดทุน 115.51 ล้านดอลลาร์ , ปี 2023 รายได้ 648.40 ล้านดอลลาร์ ขาดทุน 28.68 ล้านดอลลาร์ เเละ ปี 2024 รายได้ 661.75 ล้านดอลลาร์ ขาดทุน 113.16 ล้านดอลลาร์

 

“คีแรน แม็กไกวร์” ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินฟุตบอล บอกกับ BBC Sport ว่า ในแง่การเงินแล้ว นัดชิงยูโรป้าที่เพิ่งผ่านไปอาจเป็นแมตช์ที่สำคัญที่สุดแมตช์หนึ่งในประวัติศาสตร์สโมสร เพราะการได้เล่น แชมเปียนส์ลีก มีความสำคัญมาก อาจสร้างรายได้มากกว่า 100 ล้านปอนด์ ทั้งจากตั๋ว การถ่ายทอดสด และโบนัสจากสปอนเซอร์ แค่เล่นเกมเหย้าอย่างน้อย 4 เกม ก็อาจทำให้ปีศาจแดงมีเงินเพิ่มขึ้นอีก30-40ล้านปอนด์แล้ว นอกจากนี้ การซื้อตัวผู้เล่นแถวหน้าสู่โอลด์แทรฟฟอร์ดจะเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก หากสโมสรได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

 

ตระกูลเกลเซอร์ เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรตั้งแต่ปี 2005 หลังจากนั้น ยูไนเต็ดมีหนี้สินมากกว่า 1 พันล้านปอนด์ ซึ่งต้องเสียเงินหลายสิบล้านปอนด์ต่อปีในการชำระ และภาระดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นในปีต่อ ๆ ไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น

 

ทำให้เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา “เซอร์ จิม แรตคลิฟฟ์” เจ้าของร่วมและมหาเศรษฐีปิโตรเคมี ถึงกับบอกว่า สโมสรอาจต้องล้มละลายภายในสิ้นปีนี้ หากไม่ดำเนินการใด ๆ อย่างจริงจัง เพราะภาระทางการเงินที่เกิดจากค่าเหนื่อยของผู้เล่นหลายคน ซึ่ง “ได้รับค่าเหนื่อยที่เกินจริงและไม่เก่งพอ”

 

แมนฯยูไนเต็ด เป็นหนึ่งในทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยสูงสุดของพรีเมียร์ลีก สโมสรมีค่าใช้จ่ายด้านนี้มากกว่า 1 พันล้านปอนด์ และข้อตกลงส่วนใหญ่ก็เป็นแบบเครดิต ดังนั้น ทีมจึงมีเงินที่ต้องผ่อนชำระมากกว่า 300 ล้านปอนด์

 

ด้วยเหตุนี้ สโมสรจึงจำเป็นต้องลดรายจ่ายลงด้วยการเลิกจ้างพนักงานหลายร้อยคน และเพิ่มราคาตั๋วเข้าชม แน่นอนว่าทำให้แฟน ๆ ไม่พอใจอย่างมาก ปีศาจแดงจึงต้องการเงินจากการเล่นแชมเปียนส์ลีก เพื่อชำระหนี้ที่กำลังมีอยู่

 

“ริโอ เฟอร์ดินานด์” อดีตกองหลังของยูไนเต็ด บอกว่าว่า ชัยชนะในนัดชิงยูโรป้าที่เพิ่งผ่านไปอาจจุดประกาย “ยุคใหม่” ให้กับสโมสร แต่มันก็ไม่เกิดขึ้น

 

ในแง่การเงิน ถ้วยแชมป์ยูโรป้าจะช่วยชดเชยเงินจำนวน 14.5 ล้านปอนด์ ที่ใช้ไปกับการปลด “เอริก เทน ฮาก” อดีตผู้จัดการทีม และ ผู้อำนวยการฝ่ายกีฬา

 

ส่วนในพรีเมียร์ลีก การจบแต่ละอันดับจะมีมูลค่าประมาณ 3 ล้านปอนด์ โดยแมนฯยูไนเต็ด ได้เงินน้อยกว่าที่ ผู้บริหารของสโมสรวางแผนไว้ถึง 30 ล้านปอนด์

 

ความเสียหายยังไม่หมดเพียงเท่านั้น การที่ แมนยูฯไนเต็ด พลาดตั๋วแชมเปียนส์ลีก 2 ฤดูกาลติดต่อ เท่ากับว่าสโมสรจะต้องจ่ายค่าปรับอีก 10 ล้านปอนด์ ให้กับอาดิดาส ผู้ที่เป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งตามที่ได้ทำข้อตกลงกันไว้

 

สรุปคือ แมนยูฯไนเต็ด สูญเสียรายได้รวมแล้ว 80 ล้านปอนด์สำหรับฤดูกาลหน้า

• ค่าปรับจาก Adidas 10 ล้านปอนด์ ตามเงื่อนไขในสัญญา
• รายได้จากพรีเมียร์ลีกลดลง 20 ล้านปอนด์
• รายได้หายไป 30 ล้านปอนด์จากการไม่ได้เล่นฟุตบอลยุโรป
• รายได้จากวันแข่งขันลดลง 20 ล้านปอนด์ เนื่องจากมีเกมเหย้าน้อยลง

 

อย่างไรก็ตาม ไซม่อน สโตน ผู้สื่อข่าวระดับหัวแถวของ BBC เปิดเผยว่า ทัวร์โพสต์ซีซั่นเอเชีย 2 นัดดังกล่าว มีผลในเรื่องการเงิน เพราะทีมปีศาจแดงเตรียมรับทรัพย์จากเกมดังกล่าวถึงราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 326 ล้านบาท

 

นี่คือวิกฤติที่เลวร้ายที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ด สโมสรที่เคยเป็นอันดับหนึ่งของอังกฤษทั้งเกมในสนามและเกมนอกสนาม มันอาจจะต้องใช้เวลาและความอดทนมากสักหน่อย ในการกลับมาความยิ่งใหญ่อีกครั้ง

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube