Home
|
ข่าว

โอ้โห! ทองขึ้นไม่หยุด

 

 

 

ตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อยสำหรับราคาทองที่เดินหน้าปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2568 ทั้งราคาทองไทย และ ราคาทองโลก หรือ Gold Spot ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการของ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นั่นเพราะนโยบายของเขา สร้างแรงกระเพื่อมให้กับราคาทองเป็นอย่างมาก

 

 

ล่าสุด ในการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส “ประธานาธิบดีทรัมป์” ได้กล่าวสุนทรพจน์เรียกร้องให้บรรดาธนาคารกลางปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแม้อาจจะไม่ได้มีการกล่าวถึงธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดโดยตรง แต่ก็อาจสะท้อนว่า “ประธานาธิบดีทรัมป์” ยังคงต้องการให้เฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย เหมือนที่เคยกดดันเฟดในช่วงรัฐบาล Trump 1.0

 

 

ในมุมมอง “นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท MTS Gold แม่ทองสุก ให้ความเห็นกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ถึงภาพรวมราคาทองคำในจังหวะที่ “ประธานาธิบดีทรัมป์” ไล่บี้เฟดลดดอกเบี้ย โดย “นพ.กฤชรัตน์” กล่าวว่า การประชุมเฟดที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ เชื่อว่าเฟดจะไม่ลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้พยายามกดดัน เพราะเฟดจะปรับขึ้นหรือลดอกเบี้ยจะยึดข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

 

 

“แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาดก็คือ อาจจะมีความผันผวนของราคา ทรัมป์พูดมา ทองรับรู้ข่าว ราคาเด้งขึ้น เด้งลง อะไรทำนองนี้นะครับ ซึ่งเราก็จะเห็นตรงนี้ ตั้งแต่สมัยทรัมป์หนึ่งแล้วขนาดนี้ที่ทรัมป์ 2 แล้วมาพูด ที่ดาวอสแล้วก็ส่งสัญญาณว่าอยากให้เฟดลดดอกเบี้ยผมก็ยังคิดว่าในระยะสั้นๆ เฟดก็คงไม่ได้ทำตามหรอกครับ”

 

 

“นพ.กฤชรัตน์” กล่าวย้ำด้วยว่า ทุกครั้งที่ “ประธานาธิบดีทรัมป์” และ “เฟด” มีมุมมองเรื่องดอกเบี้ย ย่อมส่งผลต่อราคาทองคำ ให้มีความผันผวน

 

 

 

“อย่างที่ผมเคยวิเคราะห์ว่า ภาพของราคาทองคำ มันก็จะเหวี่ยงขึ้น เหวี่ยงลงเพราะว่าทุกครั้งที่เฟดหรือทรัมป์ออกมาพูด มันก็จะเหวี่ยงตามแนวที่คำพูดโดยข่าว ณ ขณะนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าภาพของการลงทุนมันส่วนหนึ่งก็ไปอิงกับเรื่องของดาต้าของจากการให้สัมภาษณ์ต่างๆแล้วก็จะไปอิงกับดาต้าตัวจริง ดาต้าตัวที่เข้ามาเร็วอะไรอย่างนี้ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นที่เราเห็นชัดเจนก็คือ ความผันผวน เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลงวันนึงขึ้นได้ 20 เหรียญ ลงมาอีก 20 เหรียญ ภายในวันเดียว” และเมื่อถามว่าในระยะยาว ราคาทองคำจะสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้อีกหรือไม่ “นพ.กฤชรัตน์” กล่าวว่า มีโอกาสแน่นอน

 

 

“แน่นอนครับจะเห็นได้ว่า ณ วันนี้ 24 มกรา ราคาตลาดโลกอยู่ที่ 2,665 เหรียญแล้วทองคำไทยอยู่ที่ 44,250 แล้ว ซึ่งห่างจากราคาไฮเดิมเมื่อปลายเดือนตุลาคมเพียงเล็กน้อยห่างจากปลายเดือนตุลาคมที่ทำไฮ 2,790 ห่างเพียง 25 เหรียญ ทองไทยก็ห่างจากราคาไฮเดิมเพียงประมาณบาทละ 200 ดังนั้นเราคาดการณ์เหลือเกิน ว่ายังไงปีนี้เราเห็นนิวไฮอยู่แล้ว”

 

 

ส่วนข้อถามที่ว่าราคาทองจะวิ่งขึ้นไปแตะบาทละ 5 หมื่นบาทต่อบาททองคำได้หรือไม่นั้น “นพ.กฤชรัตน์” มองว่า เป็นไปได้ แต่ปลายปีนี้คาดว่าจะได้เห็นบาทละ 47,000 – 48,000 บาทก่อน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับค่าเงินบาทอีกด้วย

 

 

“ใช่ครับแต่ที่เห็นแน่ๆ จะ ราวๆ 47,000 ถึง 48,000 ในช่วงปลายปี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับค่าเงินบาทว่าจะแข็งหรือจะอ่อนแค่ไหน ถ้าเงินบาทอ่อนกว่าระดับ 34.50 ขึ้นไป ราคาทองของไทยก็จะวิ่งได้มากกว่านี้ทีเดียว แล้วก็จะไปแตะ 50,000 ได้อย่างง่ายดาย”

 

 

ขณะที่ “นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี”นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า สถานการณ์ราคาทองคำยังคงเป็นขาขึ้น แต่เวลานี้ไม่สามารถตอบได้ว่าราคาจะทะลุถึงบาทละ 50,000 บาทหรือไม่ แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 อาจปรับเพิ่มขึ้นแตะระดับที่ 45,000-46,000 บาทต่อบาททองคำได้

 

 

 

และสำหรับการซื้อขายทองคำในประเทศช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้เชื่อว่าบรรยากาศน่าจะดีขึ้นเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา แต่ไม่กล้าคาดหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นมาก เพราะราคาทองคำยังถือว่ามีราคาแพงขึ้นจากปีก่อน โดยผู้ซื้อเชื่อว่าจะยังซื้อตามเทศกาล แต่อาจไม่มากนัก

 

 

ทั้งนี้ ราคาทอง ณ วันที่ 25 มกราคม 2568 ทองคำแท่ง รับซื้อบาทละ 44,050 บาท ขายออก 44,150 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 43,251 บาท 48 สตางค์ ขายออก 44,650 บาท

 

 

จากนี้ต่อไปจะต้องจับตาการขับเคลื่อนนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” อย่างใกล้ชิด เพราะทุกการขยับ ทุกการขับเคลื่อน ย่อมส่งผลต่อราคาทองคำซึ่งเชื่อมโยงกับความมั่งคั่งของนักลงทุนนั่นเอง

 


ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube