“ภูมิธรรม”จี้ ตัดไฟคอลเซ็นเตอร์-ย้ำไทยไม่ใช่ทางผ่าน
“ภูมิธรรม” ประชุมกลาโหม พร้อมตอบโต้หลังสื่อเมียนมาแฉไทย จ่ายไฟคอลเซนเตอร์ 4 จุด ยันตัดไฟแล้ว 2 จุด ย้ำไทยไม่ใช่ทางผ่านแค่ประเทศเดียว ขณะเดียวกัน เชื่อมั่น “ทรัมป์” นั่งเก้าอี้ผู้นำสหรัฐ ไม่กระทบความมั่นคงไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีหลังสื่อเมียนมาเผยไทยขายไฟ และเป็นผู้สนับสนุนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า ในพื้นที่ที่สร้างนิคมคอลเซ็นเตอร์และแหล่งอาชญากรรม อยู่ในพื้นที่เมียนมา ซึ่งมีการประสานงานกันเพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่ทางเมียนมาแจ้งว่าเป็นจุดที่ยากจะเข้าถึง
นานภูมิธรรม กล่าวต่อว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจ่ายไฟออกนอกประเทศนั้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งมีทั้งหมด 4 จุด ได้แก่ สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่สอง ชายแดนเมืองเมียวดี ซึ่งมีการตรวจสอบแล้วว่ามีการใช้งานจริงแต่อำเภอแม่ระมาด รวมถึงอำเภอแม่สอด ถือเป็นจุดที่มีปัญหา เพราะเป็นแหล่งที่มีพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งพื้นที่ในอำเภอแม่ระมาดเป็นศูนย์รวมของกลุ่ม kk park ส่วนแม่สอดก็เป็นที่ตั้งของชเวก๊กโก ซึ่งเป็นจุดนิคมคอลเซ็นเตอร์ใหญ่ ทางการไทยได้ดำเนินการตัดไปแล้ว ตั้งแต่ 5 มิ.ย. 2567 มีการถอนการติดตั้งและรื้อเสาสัญญาณ รวมถึงฐานสัญญาณ
อย่างไรก็ตาม จะดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ต้องมีการพูดคุยกับหลายประเทศ ทั้งเมียนมาและจีน ซึ่งทางการจีนประกาศชัดเจนอยู่แล้วว่า จะดำเนินการอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ไทยยังถูกกล่าวหาว่าเป็นทางผ่านให้เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เดินทางไปทำงานบริเวณอำเภอแม่ระมาดและแม่สอด ซึ่งไม่ได้ผ่านไทยเพียงประเทศเดียว หากใช้ไทยเป็นทางผ่านก็ต้องลงสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งจะมีกล้อง CCTV จับตาดู เป็นการเข้ามาโดยปกติไม่ได้ผิดกฎหมาย เช่นกรณีชาวอินโดนีเซีย ถูกพามาทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 30 คน แต่เข้ามาในไทยได้เพียงแค่ 12 คน มีเพียง 8 คนที่มีชื่อปรากฎอยู่บริเวณด่านข้ามแดน แต่อีก 4 คนหายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ และอีกส่วนก็ได้ใช้สายการบินต่างประเทศ ลงจอดที่ประเทศเมียนมา ทำให้สามารถเข้าประเทศได้ทันที ส่วนคนจีนบางกลุ่ม สามารถเดินทางเข้าเมืองเมียวดีได้โดยตรง
โดยส่วนใหญ่การเข้าไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการเข้าไปโดยสมัครใจเพราะคิดว่าเป็นงานที่มีค่าแรงสูง แต่พอเข้าไปและไม่สามารถทำงานตามที่คาดหวัง ก็จะมีจำนวนหนึ่งที่ทนไม่ได้และหนีออกมา ซึ่งในตึกคอลเซ็นเตอร์มีกำแพงกั้นหนาพอสมควรอย่างที่เป็นข่าว ชาวอินโด 32 คนที่หนีเข้ามาในไทยได้ ซึ่งกองกำลังราชมนูไปพบเข้าก็นำตัวมาและแจ้งข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย แต่หากไม่มีเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ก็จะปล่อยตัวไป
โดยเมื่อวานนี้(23 ม.ค.68) ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค(กฟภ.) ได้เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐโดยแจ้งว่ากฟภ.มี หน้าที่จ่ายไฟแต่ไม่ได้มีความรู้ของความมั่นคง ทำให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เตรียมเรียกประชุมวันที่ 29 ม.ค.68 จะเชิญกฟภ.เข้าไปเพื่อพูดคุย โดยนายภูมิธรรม ระบุว่า จริงๆแล้วระดับปฏิบัติการไม่ควรอ้างว่าไม่ทราบเรื่องความมั่นคง เพราะควรรับรู้ได้ด้วยวิญญูชน เตรียมประสานงานพูดคุยกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะกำกับดูและกฟภ.
ทั้งนี้ยังพูดถึงการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลกระทบอะไรต่อความมั่นคงของไทยไม่ ว่า ท่านมีนโยบายและข้อเสนอหลายอย่าง เรื่องผลกระทบความมั่นคง เรายังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจนว่าจะมีอะไรกระทบบ้าง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นปัญหาเชิงเศรษฐกิจเป็นหลัก ปัญหาเรื่องความมั่นคงจะมีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่านโยบายเขาเป็นอย่างไร ปัญหาสำคัญอยู่ที่พื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา
นโยบายของไทยที่ชัดเจนคือ จะดำเนินนโยบายสร้างความสมดุลของมหาอำนาจทุกฝ่ายที่อยู่ในภูมิภาคนี้ เรารู้ว่าภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ เป็นพื้นที่ที่มหาอำนาจเข้ามามีบทบาท เราเป็นประเทศเล็ก เราไม่เป็นศัตรูกับใคร ประเทศจีน เราก็มีความสัมพันธ์และความผูกพันที่ดี
โดยวันอาทิตย์นี้ (26 ม.ค.68) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยจะนำเฮลิคอปเตอร์มารับตนเองที่กองบิน 6 เพื่อไปลงเรือรบของสหรัฐอเมริกาในย่านแปซิฟิก ซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการกองเรือที่ 5 ของสหรัฐอเมริกา และตนเองจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนแรกที่เขาเชิญ ลงเรือไปรับประทานอาหารกับผู้บัญชาการกองเรือที่ 5 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาเคยมาเยี่ยมตนเอง และเคยเจอกันที่การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ADMM) ที่ประเทศลาว เพราะฉะนั้นการเชิญเพื่อไปนั่งพูดคุยกันก็เป็นเรื่องที่ดี
นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนเองจะเดินทางไปตามคำเชิญในวันอาทิตย์นี้ โดยเรือลำดังกล่าวจะจอดอยู่กลางอ่าว และจะต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ของสหรัฐอเมริกาไปลงที่เรือ ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะได้พบได้เห็น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews