เรียกได้ว่ามาเป็นแพ็คเกจใหญ่รับปีใหม่ของภาคเอกชน เพราะนอกจากค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้นไปแล้ว ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี และยังมีค่ากระแสไฟฟ้า ที่กำลังจ่อคอหอย ปรับขึ้นอีกครั้งรอบเดือนมกราคม-เมษายนปีหน้า คาดการณ์ว่าอาจแตะหน่วยละ 6 บาท ไม่ใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่ง ที่ค่ากระแสไฟฟ้าถูกกว่าประเทศไทยมาก ให้พูดกันตามตรง ประเทศไทยคงแพ้ตั้งแต่เปิดเครื่องผลิต
โดยนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่าประเทศไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอย ปัญหาเงินเฟ้อทั่วโลกที่มาจากราคาพลังงาน ซึ่งถือเป็นต้นทุนสำคัญของภาคธุรกิจ อาจทำให้การส่งออกในปีหน้าได้รับผลกระทบ
ในขณะที่การผลิตของภาคเอกชนกำลังถูกซ้ำเติมจากต้นทุนค่ากระแสไฟฟ้าที่สูงขึ้น ทำให้การแข่งขันกับประเทศคู่แข่งทำได้ยากขึ้น ซึ่งค่ากระแสไฟฟ้าของประเทศไทยในปีนี้อยู่ที่หน่วยละ 4.72 บาท และในปีหน้ามีแนวโน้มปรับขึ้นเป็นหน่วย 5-6 บาท โดยค่าพลังงานที่แพงขึ้น ถือเป็นการซ้ำเติมผู้ประกอบการกลายเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต หากเป็นไปได้อยากให้มีการทบทวนเพื่อทำให้การแข่งขัน ของผู้ประกอบการทำได้ดีขึ้น
ด้าน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น.ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารแห่งประเทศไทยอีกร้อยละ 0.25 นั้นถือว่า เป็นไปตามที่คาดไว้ เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ที่ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6 และในปีหน้าสถานการณ์น่าจะคลี่คลายมากขึ้นอัตราเงินเฟ้อน่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3 ได้ ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นไปตามทิศทางของโลก
แต่สำหรับเรื่องต้นทุนของผู้ประกอบการ นั้น นอกจากดอกเบี้ยแล้วรวมถึงค่าแรงและค่ากระแสไฟฟ้า เวลานี้ภาคธุรกิจส่วนใหญ่ได้มีการปรับตัวนำเอาระบบเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้แม้จะมีค่าแรงเพิ่มขึ้นก็ไม่กระทบมากนัก สำหรับค่ากระแสไฟฟ้า ปีที่ผ่านมารัฐบาลช่วยเหลือด้านต้นทุนพลังงานให้ประชาชนและผู้ประกอบการมากพอสมควร
ดังนั้นสิ่งที่ควรช่วยกันดำเนินการตอนนี้ คือมาตรการประหยัดพลังงาน โดยการวางแผนการใช้ไฟฟ้าให้เหมาะสมซึ่งจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้อีกมาก
แม้ต้นทุนสูงแต่ก็ยังมีทางรอดหากภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้ จังหวะนี้คงต้องช่วยกันประคับประคองจนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และทุกฝ่ายสามารถเดินหน้าได้ด้วยตัวเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews