หลังจากที่ทุกคนจับตารอคอยการตัดสินในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายนนี้ เพื่อที่จะสกัดกั้นความร้อนแรงของอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้หลายฝ่ายมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นในครั้งนี้น่าจะรุนแรงและมากกว่าระดับร้อยละ 0.75 แต่ผลการประชุมออกมามีการปรับขึ้นในระดับร้อยละ 0.75 ทำเอา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ถึงกับเรียกร้องค่าเงินบาทในอัตรา 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จึงเป็นที่น่าจับตาต่อการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินที่กำลังจะมีขึ้นว่าจะมีทิศทางอย่างไร
ด้านนายพรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. เปิดเผยกับทางสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า การเตรียมประชุมในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของทางธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด หลังมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.75 ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ เนื่องจากเพื่อหยุดความร้อนแรงในการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งหลังจากนี้คงต้องมาติดตามว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้หรือไม่และจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจซบเซาตามมาหรือไม่ คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดขณะที่ผลกระทบคงมีเกิดขึ้นโดยเฉพาะอัตราแลกเปลี่ยนหลังดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
ดังนั้นจึงมองว่าการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ที่จะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน เห็นควรน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อปี เพื่อลดช่องว่างความต่างของอัตราดอกเบี้ยและการอ่อนค่าของเงินบาท เพราะหากเฟด ขึ้นดอกเบี้ยค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงไปอีก และในความคิดเห็นส่วนตัวควรมีการแทรกแซงค่าเงินเป็นระยะเพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าจนเกินไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยต้องเตรียมรับมือ
ซึ่งความเห็นของอดีต กนง. ชัดเจนต่อความเป็นห่วงค่าเงินบาทระยะข้างหน้าที่อาจขยับอ่อนค่าจนกระทบเศรษฐกิจไทย แต่ทุกฝ่ายยังมองว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยจะยังไม่เป็นตัวส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา ทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เห็นได้จากส่วนต่างระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวที่แคบลง โดยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ตลาดการเงินเริ่มมีความกังวล ซึ่งหมายถึงดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ต่ำกว่าระยะสั้น ซึ่งที่ผ่านมาสามารถเป็นสัญญาณชี้นำของการเกิดเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเป็นเรื่องที่คงต้องติดตามใกล้ชิดในอนาคต
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews
