“รองฯโสภณ”ย้ำประเด็นสุขภาพเป็นเงื่อนไขนำต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
“รองฯโสภณ”เปิดประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ย้ำประเด็นทางสุขภาพถือเป็นเงื่อนไขนำต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ในทุกมิติ พร้อมเปิด 4 ความท้าทาย สร้างโอกาสการพัฒนาประเทศไทย
นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี ภายใต้ประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” (New Wealth for Health) พร้อมปาถกฐาพิเศษในหัวข้อ”เศรษฐกิจเพื่อสุขภาพไทย จะพัฒนาอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ: โอกาสและความท้าทายใหม่”
นายโสภณ กล่าวว่า ประเด็นทางสุขภาพถือเป็นเงื่อนไขนำต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และยังถือเป็นผลลัพธ์ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ฉะนั้นหากมีการจัดการที่ดีในเรื่องของปัจจัยที่มีผลต่อสุขภาพในกลุ่มประชากรต่าง ๆ โดยเฉพาะประชากรที่ยากจนและเปราะบาง ย่อมทำให้เกิดสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เป็นธรรม มีสภาพเศรษฐกิจที่พัฒนาและเป็นสังคมที่มีสุขภาวะได้
สำหรับระเบียบวาระทั้ง 5 ประเด็น ที่จะพิจารณาในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 เป็นเรื่องที่ทันสมัย และมีความสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่กำลังให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ ผลกระทบจากการค้าระหว่างประเทศ สังคม ภัยธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพ จึงถือเป็นโอกาสที่ทุกคนจะร่วมกันผลักดันนโยบายสาธารณะ และร่วมกันขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติอย่างเป็นองคาพยพ ตามทิศทางเข็มมุ่งของรัฐบาลต่อไป
แม้ว่าประเทศไทยจะมีฐานทุนที่ดี มีศักยภาพ และโอกาสในการพัฒนา ตลอดจนรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทว่าในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยโอกาสนั้น ยังมี ความท้าทายอย่างน้อย 4 ประการที่ทุกฝ่ายต้องเท่าทันและพร้อมรับมือเพื่อขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพฯ ทั้ง 5 ประเด็นให้บรรลุผล ประกอบด้วย
1.การพัฒนาที่สมดุล คือจะทำอย่างไรให้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจและสุขภาพพัฒนาควบคู่กันไปได้อย่างสมดุล การพัฒนาเศรษฐกิจต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพ และไม่ส่งผลกระทบด้านลบต่อระบบสุขภาพ ขณะเดียวกันเศรษฐกิจ ที่ดีจะนำไปสู่สุขภาพของคน และระบบสุขภาพของไทยที่ดีได้อย่างไร ตัวอย่างประเด็นนี้ ส่วนตัวมองว่าผู้สูงอายุของเราต้องแข็งแรง มีสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ มีรายได้ และขณะเดียวกันก็ต้องสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ด้วย
2.การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้เกิดสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดได้อย่างคุ้มค่า และสามารถลดผลกระทบต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมที่จะมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคนในประเทศด้วย โดยปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานสะอาด และผลักดันสู่สังคมคาร์บอนต่ำ กำหนดเป้าหมายไว้ว่าจะบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 หรือ ค.ศ. 2050 ส่วนในงานสมัชชาสุขภาพฯ ครั้งนี้ ได้เน้นเรื่องความเป็นธรรมในการเปลี่ยนผ่านพลังงาน นั่นก็คือจะทำอย่างไรให้ประชาชนในประเทศทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งทั้งรัฐบาลและเอกชนต้องร่วมมือกันดำเนินการ
3.การเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์หรือวิกฤตต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะมากระทบต่อเรื่องของเศรษฐกิจและสุขภาพของประเทศไทย เช่น สถานการณ์โรคระบาด ภัยธรรมชาติ โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป ลักษณะสังคมที่เปลี่ยนแปลงสู่สังคมเมือง พฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป ตลอดจนเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งนี้ต้องสามารถจัดการกับปัจจัยที่มากำหนดสุขภาพ หรือ Determinants of health ให้เป็นระบบมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ปัญหายาเสพติด ซึ่งถือเป็น Quick Big Win ของรัฐบาล ที่จะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง โดยรวมพลัง รักศรัทธา แก้ปัญหาเสพติดแบบบูรณาการ เพื่อให้ยาเสพติดหมดไปจากผืนแผ่นดินไทย โดยจะขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว สู่เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ให้สังคมและประเทศชาติปลอดภัย เพื่อประโยชน์และความสุขของประชาชนทั้งแผ่นดิน โดยล่าสุดได้ปักธงนำร่องที่ จ.บุรีรัมย์ ก่อนจะขยายไปในภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัดต่อไป รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นประตูหรือ Gateway สู่การติดบุหรี่ธรรมดาและยาเสพติดชนิดอื่น ๆ ด้วย
4.การพัฒนาโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะประชากรกลุ่มเฉพาะ กลุ่มเปราะบาง ผู้ไร้รัฐไร้สัญชาติ และแรงงานนอกระบบ ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความเป็นธรรมด้านสุขภาพในทุกมิติให้แก่คนเหล่านี้ ทั้งมิติสุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพปัญญา และสุขภาพสังคม รวมถึงด้านเศรษฐกิจ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาได้อย่างยั่งยืนของประเทศตามเป้าหมาย SDGs
“รัฐบาลพร้อมประสานพลังกับทุกภาคส่วนเพื่อเปลี่ยนความท้าทายเหล่านี้ให้เป็นความหวัง โอกาส และความเสมอภาคของคนทุกกลุ่มอย่างเป็นธรรม สิ่งสำคัญที่สุดคือ พวกเราต้องร่วมมือกัน เพราะความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่ายที่ไม่ใช่เพียงภาครัฐเพียงอย่างเดียว จึงจะนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้อย่างยั่งยืน และกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติก็เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาส ให้ทุกภาคส่วนของสังคมสามารถเข้ามาช่วยกันคิด เพื่อทำให้เกิดนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพที่โปร่งใส และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และขับเคลื่อนนโยบายเหล่านี้ร่วมกัน” นายโสภณ กล่าว
นอกจากนี้ ภายในงานยังมีพิธีการมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติให้กับหน่วยงาน องค์กร เครือข่าย ที่ได้ขับเคลื่อนงานนโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น โล่รางวัลเชิดชูเกียรติสนับสนุนการขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพ เฉพาะประเด็นการปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้า จำนวน 5 รางวัล และ โล่รางวัลเชิดชูเกียรติการขับเคลื่อนธรรมนูญสุขภาพสถานศึกษา พ.ศ. 2568 จำนวน 6 รางวัล และใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 12 กลุ่มเครือข่ายที่ขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพฯ รวมถึงการมอบรางวัลประกวดคลิปวิดีโอและ TitTok งานธรรมนูญสถานศึกษา ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





