ปชน. จี้ รบ.ปรับเงินเยียวยาน้ำท่วมเป็น “9,000 บาท/เดือน”
พรรคประชาชน ซัดรัฐบาลจัดการปัญหาสารพิษแม่น้ำกกล่าช้า จี้ เพิ่มงบตรวจน้ำ-ข้าว พร้อมขอ ครม. ปรับเงินเยียวยาน้ำท่วมเป็น “9,000 บาท/เดือน” แทนเหมาจ่ายเดียว ย้ำ 3 ความกังวลใหญ่ ห้ามรัฐบาลเร่งต่อสัมปทานทางด่วน
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน แถลงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งรับมือปัญหาสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำกก–แม่น้ำสาย หลังพบการปนเปื้อนตะกั่วและสารหนูในน้ำประปาหลายหมู่บ้านในจังหวัดเชียงราย ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพประชาชน เกษตรกรรม และการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยสถานการณ์ลุกลามต่อเนื่องมานานเกือบ 1 ปี และล่าสุดเริ่มกระทบแม่น้ำโขง-สาละวินที่เป็นปลายน้ำของหลายพื้นที่แล้ว แม้ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ก่อมลพิษ แต่ต้องรับผลกระทบอย่างหนัก โดยคาดว่าต้นตอมาจากแหล่งเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมวิจารณ์ว่ารัฐบาลยังดำเนินการแก้ปัญหาไม่เพียงพอและไม่ทันการณ์ ทั้งที่ผลกระทบทางสุขภาพและเศรษฐกิจมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้น พรรคประชาชนเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 4 ประเด็นหลัก คือ 1.จัดงบเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบน้ำในพื้นที่เสี่ยง 2.จัดสรรงบตรวจสอบข้าวนาปีที่ใช้น้ำจากแหล่งน้ำปนเปื้อน เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยว 3.จัดหาน้ำทดแทนให้ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่สามารถใช้น้ำประปาได้ และ 4.เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนรับรู้ความเสี่ยงโดยไม่เกิดความตื่นตระหนก
นายพริษฐ์ ระบุว่า การแก้ปัญหาต้องทำทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค รัฐบาลควรเสนอตัวเป็นเจ้าภาพประชุมพหุภาคีร่วมกับเมียนมาและลาวในฐานะประเทศต้นน้ำ รวมถึงจีนที่ถือครองตลาดแร่ระดับโลก เพื่อสร้างมาตรการร่วมตรวจสอบ และควบคุมผลกระทบจากการทำเหมือง พร้อมชี้ว่าขณะที่นายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนจีน ควรเร่งหารือผ่านกลไก Lancang-Mekong Environmental Cooperation Center (LMEC) เพื่อจัดการปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
โฆษกพรรคประชาชน ยังกล่าวถึงปัญหาเงินเยียวยาน้ำท่วม โดยเสนอให้ ครม. ทบทวนมติเดิมที่กำหนดเหมาจ่าย 9,000 บาทต่อครัวเรือน หากน้ำท่วมเกิน 7 วัน เพราะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม เนื่องจากบ้านที่ท่วม 7 วันได้รับเงินเท่ากับ บ้านที่ท่วมนาน 3–4 เดือน ทั้งที่ความเสียหายและการสูญเสียรายได้แตกต่างกันมาก พร้อมชี้ว่า ปัจจุบันเงินเยียวยามักถึงมือช้า
เมื่อ “น้ำลดก่อนเงินมา” ประชาชนต้องรับภาระเองเป็นเวลานาน โดยพรรคประชาชน จึงขอให้รัฐบาลปรับใหม่เป็นจ่าย “9,000 บาทต่อเดือนตามระยะเวลาที่ถูกน้ำท่วมจริง” เพื่อให้สอดคล้อง กับความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่น้ำท่วมขยายวงกว้างหลายจังหวัด
นอกจากนี้ นายพริษฐ์ ยังกล่าวถึงความพยายามของรัฐบาลในการขยายสัมปทานทางด่วนที่จะหมดสัญญาในปี 2578 ออกไปจนถึงปี 2601 พร้อมสิทธิ์สร้างโครงการทางด่วนชั้นที่สอง (Double Deck) ซึ่งพรรคประชาชนคัดค้านมาโดยตลอด โดยชี้ถึง 3 ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ 1.เสี่ยงผูกขาด ลดโอกาสแข่งขัน : หากต่อสัมปทานให้เอกชนรายเดิม ประชาชนอาจเสียประโยชน์ เพราะไม่มีการแข่งขัน เสนอเงื่อนไขที่ดีกว่า และรัฐไม่สามารถกำหนดนโยบายทางเลือก เช่น ลดค่าทางด่วน หรือให้ใช้ฟรีช่วงกลางคืนเพื่อความปลอดภัย 2.ลงทุนมหาศาลแต่แก้รถติดไม่ได้จริง:โครงการ Double Deck ใช้งบกว่า 34,800 ล้านบาท แต่ยังถูกตั้งคำถามว่าช่วยแก้ปัญหาจราจรบนพื้นราบไม่ได้ เพราะโครงสร้างไม่เชื่อมต่อกับเส้นทางด้านล่าง 3.เสี่ยงขาดความโปร่งใส–ประชาชนไม่มีสิทธิตรวจสอบ: การทางพิเศษฯ ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดโครงการให้สภาและประชาชนตรวจสอบก่อนเสนอ ครม. หาก ครม.รีบอนุมัติอาจถูกมองว่าเร่งปิดดีลก่อนเลือกตั้ง
นายพริษฐ์ ย้ำว่า รัฐบาลชุดนี้เป็น “รัฐบาลเฉพาะกิจ” จึงไม่ควรเร่งออกนโยบายผูกพันระยะยาวหลายสิบปี และควรรอรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตัดสินใจแทน พร้อมเตือนว่า หากเร่งรัดเดินหน้า ต่อสัมปทานก่อนเลือกตั้ง อาจถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง” โดยพรรคประชาชน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลออกมายืนยันชัดเจนว่า จะไม่ตัดสินใจขยายสัมปทานและโครงการ Double Deck ในช่วงเวลานี้ และจะปล่อยให้เป็นเรื่องของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดถัดไปดำเนินการแทน
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





