Home
|
ข่าว

นายกฯ กล่าวปาฐกถางาน Thailand – France Business Forum

Featured Image
นายกฯ กล่าวปาฐกถางาน Thailand – France Business Forum ย้ำความสัมพันธ์ไทย – ฝรั่งเศสที่ใกล้ชิด พร้อมแสดงวิสัยทัศน์นำเสนอ 3 โอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพในไทย การขนส่ง-การบิน และ Digital

 

 

 

 

ณ ศูนย์ประชุม L’Apostrophe กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาในงาน Thailand – France Business Forum โดยภายหลังเสร็จสิ้น

 

 

 

โดยนายกรัฐมนตรีขอบคุณการต้อนรับอย่างอบอุ่น ฝรั่งเศสถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคยุโรปที่นายกรัฐมนตรีเยือนอย่างเป็นทางการ และในครั้งนี้ถือเป็นการเยือนครั้งที่ 2 ในช่วงเวลา 3 เดือน สะท้อนถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างกัน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้เชิญผู้บริหารองค์กร Comité Colbert เยือนไทยเพื่อสัมผัสวัฒนธรรมและงานฝีมือของไทย

 

 

 

ซึ่งไทยต้องการเรียนรู้ความเชี่ยวชาญและร่วมมือกับฝรั่งเศสในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย และวันนี้ นายกรัฐมนตรีได้นำคณะนักธุรกิจชั้นนำของไทยร่วมการเยือนในครั้งนี้ด้วย ถือเป็นความมุ่งมั่นร่วมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีมาครง เพื่อต้องการสร้างเวทีให้ภาคเอกชนชั้นนำได้พบปะ เชื่อมโยง และร่วมงานกัน ซึ่งเชื่อมั่นว่า งาน Thailand – France Business Forum จะถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

 

 

ทั้งนี้ ไทยถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับที่ 3 ของฝรั่งเศสในอาเซียน ซึ่งเชื่อมั่นว่าในการนำของรัฐบาลไทยจะเป็นพันธมิตรที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสในภูมิภาคได้ ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศมีความร่วมมือที่แข็งแกร่ง ในส่วนของความร่วมมือระดับประชาชน มีคนไทยราว 3 หมื่นคน อาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศส และมีชาวฝรั่งเศสราว 4 หมื่นคน อาศัยในประเทศไทย และไทยถือว่าเป็นประเทศลำดับ 2 ในเอเชียที่มี expats โดยส่วนของการท่องเที่ยว ปี 2566 ชาวฝรั่งเศสเดินทางไปไทยราว 2 แสน 7 หมื่นคน และมีนักท่องเที่ยวไทยไปฝรั่งเศสเกือบ 2 แสนคน

 

 

 

ซึ่งรัฐบาลไทยเพิ่งเปิดตัววิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND” เพื่อยกระดับไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมระดับโลกใน 8 ภาคส่วน ได้แก่ การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ อาหารและเกษตรกรรม การบิน การขนส่ง การผลิตยานยนต์แห่งอนาคต เศรษฐกิจดิจิทัล และการเงิน ซึ่งวิสัยทัศน์นี้นำเสนอศักยภาพมากมายสำหรับภาคเอกชนฝรั่งเศสที่สนใจเข้ามาลงทุนในไทย

 

 

โดยนายกรัฐมนตรีได้แลกเปลี่ยนประเด็นสำคัญ ด้านการขนส่งรัฐบาลมีเป้าหมายผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับภูมิภาคอื่นๆ โดยมี Mega Project อย่างโครงการ Landbridge เชื่อมโยงเส้นทางการค้าและการขนส่งจากมหาสมุทรแปซิฟิก เข้ากับมหาสมุทรอินเดีย และเมื่อโครงการแล้วเสร็จ จะเพิ่มความเชื่อมโยงด้านคมนาคมทั้งทางบกและทะเลกับภูมิภาคอื่น ๆ มากขึ้น

 

 

 

ด้านการบินรัฐบาลต้องการผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางการบิน ทั้งผู้โดยสารและสินค้า ผ่านการเร่งดำเนินแผนการสร้างสนามบินใหม่และปรับปรุงสนามบินเดิม พร้อมวางแผนพัฒนาการซ่อมบำรุงอากาศยาน (Aviation Maintenance, Repair and Overhaul: MRO) ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางการบินอย่างเต็มรูปแบบ

 

 

โดยนายกรัฐมนตรีเชิญชวนให้ฝรั่งเศสใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ และดิจิทัลไทยมีอินเทอร์เน็ต 5G ที่ครอบคลุม และโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่ง ประกอบกับชาวไทยมีการใช้งานบนแพลตฟอร์มดิจิทัลจำนวนมาก รวมถึงการชำระเงินทางโทรศัพท์กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ซึ่งเหล่านี้เป็นรากบานที่แข็งแกร่งที่จะผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลของภูมิภาค ความสำเร็จของโครงการเหล่านี้สามารถทำให้ไทยกลายเป็นประตูสู่ภูมิภาคอินโด – แปซิฟิก ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโด -แปซิฟิกของฝรั่งเศส

 

 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีหวังว่าฝรั่งเศสจะสนับสนุนการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ไทย – สหภาพยุโรป ซึ่งเมื่อลงนามแล้วเสร็จ คาดว่าจะเพิ่มปริมาณการส่งออกจากสหภาพยุโรปมายังไทยกว่าร้อยละ 40 และเพิ่มปริมาณการส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปมากกว่าร้อยละ 25 โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศจะเป็นกุญแจสำคัญในการบรรลุการเจรจา FTA ดังกล่าว

 

 

 

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเรื่องความยั่งยืน ซึ่งเป็นความท้าทายระดับโลก และเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล โดยรัฐบาลมีเป้าหมายด้านการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition) ผ่านการมี Roadmap ที่สมบูรณ์เพื่อบรรลุเป้าหมายการใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 50 ของการผลิต ภายในปี ค.ศ. 2040 และในวันนี้ ภาคเอกชนด้านเกษตรและอาหารของไทยจะลงนาม MoU ด้าน sustainable mobility

 

 

 

ร่วมกับฝ่ายฝรั่งเศส โดยไทยต้องการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งอนาคต โดยเฉพาะในห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ไทยยังพิจารณาใช้ Green Hydrogen และ Small Module Reactor (SMR) เป็นเครื่องมือทำให้การผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้พบหารือกับหน่วยงานด้านพลังงานสะอาดของฝรั่งเศส Electricite de France (EDF) เมื่อการเยือนอย่างเป็นทางการด้วย

 

 

 

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำสองประเด็นสำคัญ คือ เชื่อมั่นว่าการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน จะทำให้เกิดความเข้าใจ วางใจ และมั่นใจต่อกันมากขึ้น จึงเชิญชวนให้ฝ่ายฝรั่งเศสเดินทางมายังประเทศไทยมากขึ้น โดยรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ต้องขอวีซ่า และหวังอย่างยิ่งว่า

 

 

ไทยจะได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศสในการยกเว้นการตรวจลงตราเข้าเขตเชงเกนสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทย พร้อมเน้นย้ำว่าประเทศไทยเปิดกว้างสำหรับการดำเนินธุรกิจ รัฐบาลมีทิศทางนโยบายที่ชัดเจน มีแรงจูงใจที่ดี และมีความมุ่งมั่น เพื่อสนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศสให้เจริญรุ่งเรือง และหวังว่างานนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้เข้าร่วมทุกคน

 

 

 

ด้านนายฟรองซัวส์ กอร์แบง (François Corbin) ประธานสภาธุรกิจฝรั่งเศส-ไทย และรองประธานสภานายจ้างฝรั่งเศสในต่างประเทศ MEDEF International (MEDEFi) ซึ่งได้กล่าวว่าเชื่อมั่นว่าในงานนี้จะเพิ่มตัวเลขทางการค้าและเพิ่มความสัมพันธ์ในการทำธุรกิจระหว่างระหว่างไทยกับฝรั่งเศสมากขึ้น และ นาย Franck Riester

 

 

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้านการค้าต่างประเทศ ความน่าสนใจ ทางเศรษฐกิจ และคนชาติในต่างประเทศ ซึ่งได้ กล่าวว่าไทยและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันหลายครั้งซึ่งเชื่อว่า ความร่วมมือ FTA ไทย – สหภาพยุโรป จะช่วยด้านการค้าการลงทุนมากขึ้น และความร่วมมือในด้านต่างๆ เหล่านี้จะปูทางไปสู่การเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน ในปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศที่ลงทุนในฝรั่งเศสเป็นอันดับสองในอาเซียน ในขณะที่ฝรั่งเศสลงทุนในประเทศเป็นอันดับที่สามในสหภาพยุโรป

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube