fbpx
Home
|
ข่าว

กกต.เสวนา “พรรคการเมืองสร้างชาติ” -ประสานเสียงแก้กม.

Featured Image
กกต.จัดเสวนา “พรรคการเมืองสร้างชาติ” ทุกพรรคประสานเสียง แก้กฎหมายพรรคการเมือง ดันทำงานเพื่อ ประชาชน เต็มที่ ลั่นยุบพรรคไม่ใช่ทางออก

 

 

 

ในวันนี้ (27 มีค.) ที่ อิมแพค ฟอรัม เมืองทองธานี สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้จัดเสวนาวิชาการเรื่องพรรคการเมืองสร้างชาติและการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจการพรรคการเมือง โดยนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภราดร ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ นายวุฒิสาร ตันไชย นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีนายอิทธิพร บุญประคอง ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวเปิดงาน และนายแสวง บุญมี เลขาธิการกกต. กล่าวรายงาน ทั้งนี้ มีหัวหน้าพรรค และสมาชิกพรรคการเมืองเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก

 

 

ซึ่งประเด็นคำถาม ในงานเสวนา คือพรรคการเมืองเอื้อประโยชน์ให้การเมืองไทยได้อย่างไรโดยนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โดยส่วนตนมองว่าพรรคการเมืองทุกพรรคที่ก่อตั้งขึ้น มีเจตนาว่าต้องการเข้ามาบริหารบ้านเมืองและนำนโยบายเข้ามาใช้ให้ประโยชน์กับประชาชนคงไม่มีพรรคการเมืองใด ที่ตั้งขึ้นแล้วอยากเป็นฝ่ายค้าน

 

 

ซึ่งพรรคการเมืองได้ตั้งขึ้นและถูกกำกับโดยรัฐธรรมนูญ อีกทั้งบริบทของรัฐธรรมนูญนั้นมีความเข้มงวดในการควบคุมพรรคการเมือง ซึ่งทางพรรคการเมืองมองว่าเรามีเจตนาในจัดตั้งพรรคขึ้นก็จริงแต่เราถูกจำกัด มากมายหลายประการ ในข้อกฎหมาย ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่สามารถที่จะเรียกร้องอะไรได้ จึงมองว่าทางออกที่จะดีสุดคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นพรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตย

 

 

นายชูศักดิ์ กล่าวว่าแทนที่จะบริหารชาติบ้านเมือง แต่กลับถูกมองว่ามาบริหารอำนาจ บางครั้งก็ถูกยุบพรรค ความต่อเนื่องในการบริหารชาติบ้านเมือง และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองนั้นก็ไม่เกิดขึ้น โดยลึกๆตนไม่ค่อยเห็นด้วย ในเรื่องการยุบพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นโดยง่าย ซึ่งเราเคยเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหลายเรื่องโดยเฉพาะมาตรา 92 (2) และ (3) แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็แก้ไม่สำเร็จ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งในส่วนพรรคการเมือง ก็ควีสร้างนักการเมืองมืออาชีพ ให้ขึ้นมาบริหารพรรคการเมือง แต่ในปัจจุบันเรายังไม่มีร้อยเปอร์เซ็นต์เรายัง เพราะส่วนมากทุกคนก็มีอาชีพหลักควบคู่ไปด้วย

 

 

 

ท้ายที่สุดแล้วการที่พรรคการเมือง ถูกควบคุมกำกับด้วยกฎหมาย แต่มองว่าควรจัดทำรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยและมีความมั่นคงมากกว่าที่เป็นอยู่ ด้านนายวุฒิสาร ตันไชย อดีตเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า พรรคการเมืองก่อนจะสร้างชาติควรจะมองว่าจะสร้างนักการเมืองที่ดีได้อย่างไรซึ่งความจริงที่ทำให้พรรคการเมืองมั่นคงและเดินต่อได้

 

 

คือความจริงที่อยู่ภายในพรรคการเมือง เช่น แก่นกลาง ที่เป็นชุดความคิดอุดมการณ์ จุดมุ่งหมาย เดียวกัน ที่สมาชิกพรรคจะมีความคิดเห็นตรงกันหรือไม่เชื่อเรื่องเดียวกันใช่หรือไม่ เพราะหากจะต้องมีอิสระในการจัดการบริหาร พรรคการเมืองควรเติบโตด้วยธรรมชาติไม่ใช่เติบโตด้วยกติกา คนที่จะควบคุมพรรคคือสมาชิกพรรคการเมือง คนที่จะรับผิดชอบคือกรรมการบริหารพรรคการเมือง ที่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญ

 

 

นายวุฒิสาร กล่าวอีกว่าระบบกฎหมายควรเอื้อให้พรรคการเมืองเติบโตโดยประชาชน ซึ่งเรื่องที่สำคัญคือเราต้องยอมรับว่าพรรคการเมือง มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย ซึ่ง 4-5 ปีที่ผ่านมาบทบาทของส.สในการอภิปรายในสภาไปในทิศทางที่ดีเห็นชัดเจนว่า หากคุณจะพูดอะไรที่ไม่มีข้อมูลเป็นไปไม่ได้แล้ว เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลง

 

 

ทุกคนต่างมีข้อมูลข้อเท็จจริงเข้ามาอ้างอิงในการอภิปราย แต่ที่ผ่ารมากติกาหรือกฎหมายพรรคการเมือง ไม่เคยให้พรรคการเมืองเติบโตโดยธรรมชาติแต่กฎหมายออกมาซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆมีกติกาเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอยากให้มี mind Set สำหรับกฎหมายนี้ จะต้องให้เวลาเพื่อเกิดการพัฒนาไปเรื่อยๆ อย่าออกกฎหมายเพื่อการยุบพรรคอย่างเดียว เพราะพรรคการเมืองถือว่าเป็นสมบัติของสมาชิกพรรค เราต้องออกกติกาให้ดีและมี mindset ใหม่

 

 

ด้านนายชัยธวัช กล่าวว่าน่าเสียดายที่สังคมไทย สวนทางกับโลก และบอกว่าพฤติกรรมของพรรคก้าวไกล มีพฤติกรรมล้มล้างการปกครอง และถูกยุบพรรค ซึ่งในแง่นี้หมายความว่า พรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่น่าจะมีบทบาทให้การเมืองดีและสร้างชาติ แต่ในทางตรงกันข้าม ถูกมองว่าเป็นพรรคการเมืองทำลายชาติเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ดีซึ่งมีนัยยะที่เป็นประเด็นสำคัญอยู่ ทั้งนี้มองว่าพรรคการเมืองมีความสำคัญมากๆในการสร้างชาติ ในฐานะผู้มีบทบาททางตรงในการกำหนดนโยบายสาธารณะรวมถึงการออกกฏหมาย

 

 

ตัวพรรคก้าวไกลเอง พยายามพัฒนาบุคลากรและตัวแทนของพรรคให้มีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพราะไม่ว่าจะพูดถึงการกำหนดนโยบายสาธารณะ เราระดมสมองจากนักกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญ แต่ในเมืองไทยเราไม่เคยเห็นพัฒนาการทางการเมือง เราไม่เคยเห็นการถกเถียงทางการเมืองกันอย่างจริงจังดังนั้นตนคิดว่าควรจะมีได้แล้ว

 

 

นายชัยธวัช ยังย้ำอีกว่า การเมืองดีไม่มีอะไรมากต้องวางอยู่บนหลักการพื้นฐานง่ายง่ายคือ 1.อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน 2.สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานต้องได้รับการคุ้มครอง 3.กฎกติกาฟรีและแฟร์หรือไม่ หากเราออกแบบการเมืองที่เราคิดว่าการเมืองดีคือแบบนี้ เราก็จะออกกฎกติกาที่เชื่อว่าจะเอื้อต่อการพัฒนาทางการเมือง เพราะเชื่อว่าประชาชนเรียนรู้ได้ แต่หากการเมืองดีคือการที่ยุบพรรคการเมืองกันอย่างเป็นปกติ พรรคการเมืองถูกสั่งว่าหาเสียงแบบนี้ไม่ได้และอันตรายไป จนถึงการยุบพรรคนั้น และกฎพรรคการเมืองนั้นยุบยิบไปหมด

 

 

การใช้งบประมาณ ไม่เอื้อต่อการสร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็งเลย ขอเงินยาก หากเราออกแบบกฎกติกาพรรคการเมืองด้วยพื้นฐานที่เรียกว่า เป็นการเมืองที่ไม่ไว้ใจประชาชนและต้องการพยายามควบคุมอำนาจ และสถาบันทางการเมืองที่ยึดโยงกับประชาชนให้อยู่ภายใต้อำนาจที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน แต่เป็น “คุณพ่อรู้ดีไปหมด” ว่าการเมืองที่ดีควรเป็นอย่างไร อันนี้ถือเป็นใจกลางสำคัญมากๆที่การเมืองไทยยังไม่จบว่าจะมีคำตอบจากเรื่องนี้อย่างไร

 

 

นายภราดร กล่าวว่า การเมืองจะดีหรือไม่ดีพรรคการเมืองจะดีหรือไม่ดีต้องเริ่มต้นจากกติกา พรรคการเมืองจะดีได้ กติกาก็ต้องดีก่อน พรรคการเมืองเป็นบ้านของสมาชิก และทำหน้าที่ในการนำเสนอ แนวทางความคิดของตัวเองสู่สาธารณะแล้วให้สาธารณะ วิพากษ์วิจารณ์เห็นตัวตนของพรรค ต้องมีการสอบถามว่าประชาชนต้องการอะไรแล้วเอาความต้องการนั้น มาเป็นแก่น

 

 

เป็นหลักคิดนำเสนอต่อสังคมอีกครั้งแล้วลงสู่สนามเลือกตั้ง เพื่อให้ประชาชนเลือกเข้าสู่การเป็นคณะบริหาร นี่คือสิ่งที่สังคมไทยปรารถนาที่จะเห็น แต่ที่ผ่านมาพรรคการเมืองถูกกดทับถูกบีบคั้น ถูกทำให้รู้สึกว่านักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งที่สังคมไม่ปรารถนาจึงออกกติกามาเหมือนกับว่าพยายามที่จะเข่นฆ่านักการเมืองและเข่นฆ่าพรรคการเมือง ไม่ให้พรรคการเมืองมีการเติบโต โดยเฉพาะในรัฐธรรมนูญปี 2550 และฉบับ 2560

 

 

ที่มีกติกาในการยุบพรรคซึ่งตนคิดว่าไม่มีใครเห็นด้วยกับการยุบพรรคการเมืองจากกติกาที่เขียน ว่าจะต้องยุบจาก เหตุผล 1 2 3 แต่พรรคการเมืองควรจะต้องยุบพรรคจากประชาชน เพราะเกิดมาจากประชาชน ซึ่งในอดีตหลายพรรคการเมืองที่เกิดมาปัจจุบันก็ไม่มีสถานะแล้วเพราะประชาชนไม่เลือก

 

 

นายภราดร กล่าวต่อว่า สำหรับพรรคการเมืองที่ไม่รักษาคำพูดตอนหาเสียง จะมีบทลงโทษอย่างไรนั้น ต้นบอกว่า หากไม่ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ก็จะส่งผลต่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยกตัวอย่างพรรคภูมิใจไทยกับนโยบายกัญชา ซึ่งระบุว่าจะทำกัญชาให้เป็นกัญชาทางการแพทย์ ซึ่งในช่วง 4 ปีที่นายอนุทินเป็น รมว.สาธารณสุข ก็ทำให้เป็นกัญชาเสรีทางการแพทย์และสำเร็จไปส่วนหนึ่งแต่สิ่งที่ปรากฏออกมา

 

 

เรากำลังเขียนกฎหมายเพื่อที่จะให้มีการควบคุมความเสรีของกัญชาเกี่ยวกับเรื่องของการสันทนาการ ซึ่งเราประกาศว่าไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่กฎหมายนั้นไม่สำเร็จเพราะอะไรก็แล้วแต่พักร่วมรัฐบาลขณะนั้นทำให้องค์ประชุมไม่ครบไม่เห็นด้วยพยายามเตะถ่วงให้กฎหมายนี้ไม่ผ่าน ก็มีผลกระทบ มาถึง การเลือกตั้งว่าภูมิใจไทยทำให้กัญชาเสรีมากเกินไปซึ่งไม่ใช่เจตนารมณ์ของเราเนื่องจากกฎหมายไม่แล้วเสร็จ ทำให้พรรคการเมืองอื่นนำมาโจมตีในสนามเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นคิดว่าการพูดแล้วไม่สามารถทำตามที่หาเสียงได้แม้บทลงโทษทางกฎหมายไม่มีแต่ก็จะถูกกดลงโทษทางสังคมต่อไปส่งผลต่อพรรคการเมืองในอนาคต

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube