Home
|
ข่าว

สภายึดเสียงข้างมากตาม กมธ.ไม่ปรับลดงบกลาง

Featured Image
สภาฯ ไม่ปรับลดงบกลาง ยึดตาม กมธ.เสียงข้างมาก “เรืองไกร” แฉมีคนล็อบบี้งบนายกฯ พันล้าน เลยเสนอตัดออก ขู่ถ้ายังไม่ตัด เจอร้อง ป.ป.ช.แน่ ขณะ “ศิริกัญญา” ซัดไม่เคยถอดบทเรียนจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ด้าน “ชวลิต” ไทยสร้างไทยเตือนใช้งบกลางให้ตรงวัตถุประสงค์ ป้องกันส่อทุจริต

 

 

 

 

 

การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม พิจารณาร่าง พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 ในวาระ 2 และ 3 มาตรา 6 ซึ่งเป็นการพิจารณางบประมาณรายจ่ายงบกลาง นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการสงวนความเห็น ขออภิปรายปรับลดงบกลางให้เหลือ 5.7 แสนล้านบาท โดยระบุว่า อยากให้รัฐบาลจัดสรรงบตามวัตถุประสงค์ในการมีงบกลาง

 

 

โดยทางปีนี้รัฐบาลไม่ได้จัดสรรเบี้ยหวัดบำเหน็จ บำนาญข้าราชการ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลของบุคลากรภาครัฐไว้อย่างเพียงพอ เป็นการพลาดแล้ว พลาดอยู่ พลาดต่อ โดยปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้วที่ตั้งงบไว้ขาดเป็นจำนวนมาก เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ ตั้งขาดไป 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลบุคลากรภาครัฐตั้งขาดไป 2 หมื่นล้านบาท

 

 

เรื่องนี้ได้รับการยืนยันแล้วว่า เป็นความจริงในการตั้งงบประมาณขาด แต่จะขาดเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับการประมาณการ สุดท้ายต้องใช้งบกลางเงินสำรองรายจ่ายฉุกเฉิน ตนคิดว่ารัฐบาลไม่ได้ถอดบทเรียนจากรัฐบาลชุดที่แล้วเลย ในการจัดทำงบกลางให้ดีขึ้น

 

 

ขณะนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะกรรมาธิการสงวนความเห็น อภิปรายขอปรับลดงบกลาง 1.4 พันล้านบาท โดยระบุว่า ในกรรมาธิการที่มีการหารือกันอยู่นั้น มีรองประธานกรรมาธิการบอกว่าของบให้รัฐสภาไทย ตนคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะจะมีส่วนได้เสีย

 

 

ทั้งนี้ ในการพิจารณาปรับเพิ่ม 1 พันล้านบาท วันนั้นมีการพูดคุยกันกลางห้องประชุม จับกลุ่มพูดคุยว่าจะเอาตรงไหนไปไหนมีการบอกว่าจะเอาไปประกันสังคม 500 ล้านบาท ตัว 1 พันล้านบาท บอกว่า นายกฯ ขอมา ตนฟังแล้วก็ตกใจ ถ้าบอกขอมา อย่างนี้วันนี้ก็ต้องขอเสนอตัดออก เพราะให้ผ่านไปไม่ได้ ถ้าให้ผ่านไปในมาตรา 144 ก็ต้องถูกร้องแน่ การที่มาพูดแล้วในห้องกรรมาธิการ แม้ว่าจะไม่ได้ออกเสียง แต่ก็มีคณะกรรมาธิการที่เป็นคณะรัฐมนตรีนั่งอยู่ด้วย ศาลรัฐธรรมนูญบัญญัติคำวินิจฉัยไว้ว่าถ้ามีส่วนได้เสียในเรื่องนั้น

 

 

ก็ต้องไม่อยู่ในห้อง เฉกเช่นเดียวกันกับผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ก็ทำเป็นตัวอย่าง ตนยังติดใจเรื่องนี้และเสนอให้ตัด 1 พันล้านบาทออกไป เพราะอย่างไรงบกลางก็ยังมี 9 หมื่นกว่าล้านบาท อย่าไปเสี่ยงกับเงินเล็กน้อย และมีปัญหาทางข้อกฎหมาย เพราะตนเป็นกรรมาธิการ แม้เสียงข้างน้อย ก็ใช้สิทธิ์ที่จะต้องยื่น ป.ป.ช.แน่นอน ถ้าตัวเลขนี้ไม่ตัดออก

 

 

ส่วนนายชวลิต วิชยสุทธิ์ กรรมาธิการสัดส่วนพรรคไทยสร้างไทย? ขอสงวนความเห็น อภิปรายว่า ปีนี้มีการตั้งงบประมาณในส่วนของงบกลางเอาไว้ 6.657 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นเบี้ยหวัด ค่ารักษาพยาบาลราชการหรือลูกจ้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นรายจ่ายประจำควรแยกส่วนต่างหากไม่ควรนำมารวมไว้ในงบกลาง ให้เข้าใจไขว่เขวว่าเป็นอำนาจของฝ่ายบริหารทั้งที่เป็นเงินที่ต้องจ่ายเป็นประจำตามกฎหมายนั้นๆ ส่วนเงินที่ต้องสำรองจ่ายหากฉุกเฉินหรือจำเป็นที่จะใช้ได้ในกรณีที่ฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยปีนี้ตั้งไว้สูงถึง 9.85 หมื่นล้านบาท

 

 

แต่กลับไม่มีรายละเอียดใดๆ ให้ตรวจสอบ นอกจากนี้ ในช่วงการพิจารณาปรับลดของ กมธ.นั้น รัฐบาลได้แปรเพิ่มจากงบที่ปรับลดจากหน่วยราชการต่างๆ มาไว้ในงบกลางอีกจำนวน 1 พันล้านบาท รวมเป็นงบกลางที่ตั้งไว้ใช้จ่ายเพื่อสำรองจ่ายในกรณีที่ฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเป็น 9.95 หมื่นล้านบาท อีกเพียง 500 ล้านจะถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงมากอย่างเป็นประวัติการณ์

 

 

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าในงบประมาณจำนวนนี้ น่าจะมีบางส่วนมาจากการปรับลดโครงการซื้อเรือฟริเกตของกองทัพเรือที่ตั้งงบประมาณปี 67 ไว้กว่า 1,700 ล้านบาท แต่ถูกตัดออกทั้งหมด และงบที่ถูกตัดทั้งหมดย่อมถูกนำมาอยู่ในงบกลาง ฉะนั้น การใช้จ่ายงบกลางของรัฐบาลนี้ก็ควรที่จะต้องใช้จ่ายให้ตรงกับวัตถุประสงค์คือเป็นกรณีฉุกเฉินเร่งด่วน

 

 

ไม่เปิดช่องไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นใดๆ หากโครงการที่รัฐบาลอนุมัติไม่เหมาะสม ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนจริงๆ ก็จะเกิดการเปรียบเทียบกับเรือฟริเกตของกองทัพเรือ เพื่อมาปกป้องอธิปไตย รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่กลับถูกปรับออกไป ขอย้ำว่าการใช้จ่ายงบกลางต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะจะถูกจับตาจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะจากกองทัพเรือ

 

หากเป็นไปได้งบประมาณปี 68 รัฐบาลควรหากแนวทางให้กองทัพเรือได้เรือฟริเกตโดยมีเงื่อนไขให้กองทัพเรือสนับสนุนอุตสาหกรรมความมั่นคงของประเทศตามนโยบายของรัฐบาลที่เคยแถลงไว้ต่อรัฐสภา เพราะเงินงบประมาณก็จะไม่รั่วไหลไปต่างประเทศ หมุนเวียนอยู่ในประเทศเราเอง ผมจะรอฟังคำตอบประเด็นนี้จากรัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงกลาโหม

 

 

ด้านนายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอตัดงบในมาตรานี้ลง 10 เปอร์เซ็น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายทดลองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน หรือรายจ่ายจำเป็น มีเรื่องของโครงการที่เรียกว่าเงินอุดหนุน เพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลก่อนหน้านี้หรือรัฐบาลปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเอาเด็กเป็นตัวประกันในการใช้จ่ายงบกลาง และเมื่อย้อนกลับไปดูประเทศไทยมีเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ขวบ ทั้งหมด 4 ล้านคนเศษ

 

แต่รัฐบาลไม่ได้ใช้เงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบถ้วนหน้าแบบงบประจำถ้วนหน้าไปเลย แต่ใช้เงินอุดหนุนเด็กเล็กแบบจำกัดจำนวน และมีการใช้จ่ายงบกลาง และตั้งแต่ปี 2566 ก็มีแต่มาจขอใช้งบกลางตลอด จนกลางเป็นงบประจำไปแล้ว รวมถึงมีการอ้างเรื่องความยากจน ความจำเป็น เรื่องสัญญาติ

 

 

จากนั้น นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ชี้แจงว่า งบกลางในหมวดสำรองจ่ายในปี 67 ที่กำลังพิจารณากันมีการเบิกจ่ายต่ำ เนื่องจากในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในส่วนของงบกลางที่เป็นเงินสำรองจ่ายนั้น สำนักงบประมาณได้พิจารณาถึงความพร้อม ความสามารถตามระเบียบความจำเป็น แผนงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ

 

 

ตามที่สำนักงบประมาณควรจะต้องพิจารณา ส่วนใหญ่งบกลางจะจัดสรรในช่วงกลางปีงบประมาณ แต่ในเรื่องของการเบิกจ่ายมีความล่าช้า ส่วนใหญ่ก็สืบเนื่องมาจากเรื่องของภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดในช่วงฤดูฝนหรือช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ ซึ่งจะเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้มีความคาดหมายไว้ล่วงหน้า การของบประมาณจึงเกิดขึ้นในช่วงนี้

 

 

 

ส่วนค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสวัสดิการของข้าราชการนั้น เป็นการตั้งงบประมาณในรอบ 1 ปีงบประมาณเท่านั้น ซึ่งการเบิกจ่ายเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อน และคิดว่าประชาชนคนไทยคงไม่อยากเจ็บป่วย ทำให้การตั้งงบประมาณเป็นไปตามสมมติฐานที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นอย่างเพียงพอ

 

 

 

ทั้งนี้ งบประมาณทุกบาททุกสตางค์ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะบริหารงบประมาณอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ จึงขอยืนยันว่า ตสเห็นกับกรรมาธิการในมาตรานี้ และนายนิคม บุญวิเศษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่างบที่ตั้งไว้สูงมาก เปรียบเสมือนการตีเช็คเปล่า แต่เมื่อมาดูเนื้อหาสาระ การตั้งงบประมาณรายจ่ายงบกลางค่อนข้างสูงนั้นเป็นงบที่มีความจำเป็นที่ไม่สามารถตัดได้เลย

 

 

โดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลข้าราชการลูกจ้างข้าราชการของรัฐกว่า 79 หมื่นล้าน ซึ่งเป็นความจำเป็นที่รัฐบาลต้องตั้งเพราะบางปีใช้ไม่เพียงพอ งบช่วยเหลือ ข้าราชการลูกจ้างพนักงาน 4.5 พันล้านก็ถือว่ายังน้อยอยู่ รวมถึงเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญที่ต้องมาดูแลผู้สูงอายุ จึงทำให้งบประมาณรายจ่ายกลางมีสูง

 

 

แต่ยังมีงบบางงบ ที่สามารถตัดได้ เนื่องจากว่าเป็นงบที่ตั้งไว้กรณีเงินสำรองจ่ายเงินสมทบและเงินชดเชย ซึ่งตั้งไว้ 7 หมื่นล้าน เงินก้อนนี้ทุกปีใช้ไม่ถึง ดังนั้น จึงควรมีการตัดออกมา 2.5 พันล้าน ตัดไปช่วยเหลือไปลงทุนให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้ช่วยเหลือ SME และทำให้เกิดการจ้างงานอาชีพเศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น และเงินสำรองจ่ายในกรณีฉุกเฉินจำเป็นซึ่งเราตั้งไว้เยอะทุกปีบางปีใช้ไม่เพียงพอบางปีใช้เงินเกิน

 

 

ซึ่งเป็นงบที่ตั้งไว้กรณีที่มีวาตภัยที่ทำให้บ้านเรือนประชาชนดีหมายอุทกภัยน้ำท่วมจำเป็นต้องใช้งบตรงนี้เร่งด่วน รัฐบาลจำเป็นต้องตั้งไว้ 9 หมื่นล้านบาท แต่ถึงแม้จะตั้งไว้เท่านี้ แต่สามารถตัดได้ 3.5 พันล้าน เพราะบางครั้งใช้ไม่หมด เพื่อเอาไปใช้ในสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เห็นควรปรับลดงบกลาง 1 % จำนวน 6 พันล้าน

 

 

ภายหลังการอภิปรายของสมาชิก ที่ประชุมได้ลงมติให้ความเห็นชอบ 279 เสียง ยึดตามการแก้ไขของคณะกรรมาธิการเสียงข้างมาก โดยมีเสียงไม่เห็นด้วย 160 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

 

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube