แรงงานไทยรอบที่ 3 ของกองทัพอากาศ ก้มกราบแผ่นดิน ดีใจถึงมาตุภูมิปลอดภัย เผย สถานการณ์รุนแรง อยู่ไม่ไหวตัดสินใจกลับ รอสถานการณ์สงบพร้อมกลับอิสราเอล
เครื่องบิน A340-500 ของกองทัพอากาศเที่ยวบินที่ 3 RTAF229 ที่เดินทางไปอพยพคนไทยในอิสราเอล เดินทางถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 โดยมีแรงงานไทยจากอิสราเอล จำนวน 139 คน แบ่งเป็นผู้ชาย 136 คน และผู้หญิง 3 คน โดยทันทีที่ลงจากเครื่องบิน แรงงานบางคนได้ก้มกราบลงบนผืนแผ่นดินไทย
หนึ่งในนั้น คือ นายนิทัศน์ พันธศรี ชาว จ. หนองคาย ซึ่งไปทำงานทางตอนเหนือติดกับพื้นที่เลบานอน เปิดใจว่า ที่ก้มกราบแผ่นดินไทย เพราะปราบปลื้ม หลังจากบ้านไป 3 ปี อยู่ที่นั่นต้องไปวิ่งหลบกระสุน และวันนี้รอดตายกลับมาได้ ซึ่งตนต้องไปวิ่งหลบอยู่ในห้องน้ำบ้าง หลบอยู่ในห้องพักและออกนอกห้องไม่ได้ หากออกไปก็อาจจะโดนกระสุน โดยสถานการณ์หนักที่สุดในช่วงวันที่ 16-18 ตุลาคมที่ผ่านมาเนื่องจาก กองโจรมีการสาดไฟเข้ามาภายในห้องที่ตนพักอาศัยอยู่ เพื่อที่จะกราดยิง ส่วนตัวไม่รู้จะทำอย่างไรโทรหานายจ้างช่วงตี 2 ก็ไม่ติด
เพราะช่วงตีสองแล้ว ตี 3 จะเป็นช่วงที่หนักสุดเพราะมีการทิ้งบอมลงมา ในจุดที่ตนพักอาศัยอยู่ มีแคมป์คนงานด้วยกัน 6 – 7 แคมป์ จำนวนคนไม่มาก แต่ตนเองรู้สึกไม่ไหว และได้ขอกับนายจ้างว่าจะขอกลับไปพัก จากนั้นนายจ้างจึงได้ประสานกับทางการไทยเพื่อประสานให้ออกจากพื้นที่เสี่ยงและเดินทางกลับประเทศไทย
ทั้งนี้ส่วนตัวจะเดินทางกลับไปทำงานที่อิสราเอลหลังจากสงครามสงบเพราะได้พูดคุยกับนายจ้างเอาไว้เนื่องจากต้นเพิ่งเดินทางไปทำงานได้เพียง 2 ปี 8 เดือนเท่านั้น นอกจากนี้ตอนนี้ยังมีเพื่อนแรงงานไทยที่ยังอยู่ที่อิสราเอลและสอบถามตนว่าทำอย่างไรถึงจะได้กลับไทย ตนจึงให้แนะนำ
ด้านนายจรัส ส่วนศรี ชาวจังหวัดสิงห์บุรี หนึ่งในแรงงานไทยในอิสราเอล ที่ทันทีเดินทางถึงประเทศไทยได้ก้มลงกราบผืนแผ่นดิน พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองดีใจที่ได้เดินทางกลับมาด้วยความปลอดภัย และที่ก้มลงกราบนั้น เพราะคุณแม่บอกมา ให้กราบแผ่นดินไทยทันทีที่ถึง จึงต้องการให้คุณแม่สบายใจ ทั้งนี้ ตนเองไปทำงานที่อิสราเอลเป็นระยะเวลา 2 ปี 8 เดือน และหลังจากนี้จะไม่เดินทางไปทำงานที่อิสราเอลอีกแล้ว
ส่วนนายชูชีพ หนึ่งในแรงงานไทย เล่าว่า ตนเองทำงานอยู่ภาคเหนือของกาซา ซึ่งความไม่สงบระดับภาคพื้นดินการยังมาไม่ถึง แต่ช่วงเช้าวันที่ 8 ต.ค. นายจ้างพาออกมาก่อนไปทางภาคเหนือเนื่องจากเป็นห่วง และไม่นานเมื่ออพยพมาแล้วก็ยังมีการยิงสู้รบตนจึงตัดสินใจเดินทางกลับไทย ซึ่งตนเอง อยากเดินทางกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีก แม้จะเคลียร์ปัญหาหนี้สินหมดแล้วแต่อยากกลับไปทำงานเพื่อเก็บเงิน พร้อมฝากถึงคนไทยที่ยังอยู่ให้กลับ และขอบคุณเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ณ กรุงเทลอาวีฟ ที่ดูแลเป็นอย่างดี รวมถึงกองทัพอากาศที่เดินทางไปรับที่สนามบินด้วย
ขณะที่นายธีรวัฒน์ คำกองแพง ชาวนครพนม บอกว่า สถานการณ์สู้รบในพื้นที่ถือว่ารุนแรง ซึ่งตอนแรกตัดสินใจยังไม่อยากเดินทางกลับเนื่องจากได้ค่าจ้างดี แต่พอสถานการณ์เริ่มหนักขึ้น จึงตัดสินใจเดินทางกลับมาในรอบนี้ โดยจะกลับไปทำงานที่อิสราเอลอีกครั้งหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย เนื่องจากต้องการอยากเก็บเงิน ภายหลังยืมเงินญาติพี่น้องเพื่อไปทำงานที่อิสราเอล พร้อมฝากบอกแรงงานไทยที่ยังไม่ตัดสินใจเดินทางกลับขอให้ดูแลตัวเองให้ดี
ด้านนาวาอากาศเอกเจริญ วัฒนศรีมงคล ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการ นักบินกองทัพอากาศภารกิจนำคนไทยกลับจากอิสราเอล รอบที่3 เปิดเผยว่า ตามแผน ที่กระทรวงการต่างประเทศแจ้งว่าในรอบที่3 จะมีผู้เดินทางกลับ 140 คน แต่มี 1 คนไม่สามารถติดต่อได้ ส่วนการบินเที่ยวที่ 3 ของกองทัพอากาศใช้เวลาสั้นลง ขาไปใช้เวลา 9 ชั่วโมง ขากลับใช้เวลา 8.30 ชั่วโมง ทำให้ประหยัดเวลา และหยัดเชื้อเพลิง ลดความเหนื่อยล้าของแรงงานไทย
ขณะที่การบินของกองทัพอากาศในรอบที่ 4 จะไปรับที่สนามบินฟูไจราห์ นครดูไบ ซึ่งจะทำให้เพิ่มเครื่องบินอื่นได้มากขึ้น เช่น c-130 รวมถึงสายการบินพาณิชย์จะทำให้สามารถนำคนไทยกลับประเทศได้จำนวนมากขึ้น ทั้งนี้ C-130 ยังไม่นำมาปฏิบัติการแต่ได้เตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลา
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews