fbpx
Home
|
ข่าว

นักวิชาการชี้โรคเลื่อนไม่ใช่บังเอิญแค่ยื้อต่อรองขั้นสูงสุด

Featured Image
นักวิชาการชี้ ศาล รธน.เลื่อนคำร้องผู้ตรวจ – เลื่อนโหวตนายกฯ เลื่อนแถลงตั้ง รัฐบาล ทักษิณเลื่อนกลับไทย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เชื่อเป็นการยื้อเวลาเพื่อต่อรอง เพราะเพื่อไทยกำลังโดดเดี่ยว พลาด 2 ครั้งซ้อน

 

 

รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยสำนักข่าว INN กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเลื่อนการพิจารณาคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีมติรัฐสภาค้านเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ซ้ำไปเป็นเป็นวันที่ 16 ส.ค. จนทำให้ประธานรัฐสภา เลื่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ออกไปอย่างไม่มีกำหนด รวมทั้งพรรคเพื่อไทย

 

ยังเลื่อนการแถลงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ด้วย และยังมีข่าวว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เลื่อนกลับไทยด้วยเช่นกัน ว่า หากมองในมิติการเมืองทุกอย่างไม่ใช่เรื่องบังเอิญ โดยทุกมีการกำหนดไว้เพื่อที่จะยื้อเวลาให้เกิดการต่อรองกันให้ถึงที่สุด เพราะตอนนี้การต่อรองในหมู่ชนชั้นนำ การต่อรองกันในหมู่ชนชั้นนำ

 

เป็นการต่อรองเวอร์ชั่นสูงแล้ว หลังจากพรรคเพื่อไทยฉีก MOU และผลักพรรคก้าวไกล ไปเป็นฝ่ายค้าน แต่การต่อรองยังไม่สะเด็ดน้ำเนื่องจากอยู่ในสถานการณ์ที่ตัวเองเหมือนกับโดดเดี่ยว แม้ดูเหมือนมีโอกาสในการคว้าชัยตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สถานการณ์กลับโดดเดี่ยวมาก สัญญาณปลายสายไม่สามารถติดต่อได้ จึงทำให้นายทักษิณต้องเลื่อนกลับประเทศไทย ซึ่งมาจากการต่อรองกันยังไม่ลงตัว

 

สำหรับการต่อรองมองว่าสมการตอนนี้เป็นการต่อรองกับอีกขั้วอำนาจเดิมเก่า ที่อำนาจการต่อรองของพรรคเพื่อไทยขณะนี้อยู่ในภาวะที่เสียดุลอำนาจ โดดเดี่ยว ไม่สามารถรับข้อเสนอในการต่อรองได้ แต่เชื่อว่าท้ายที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ต้องยอมรับ และอยู่ในเกมขั้วฝ่ายอำนาจเดิม

 

หลังจากบอกเลิกสัญญารักระหว่างพรรคก้าวไกล “รักหลอนในคืนหลอกลวง” จบลง อำนาจก็มีอยู่กับอีกฝ่าย โดยไม่ปล่อยให้เกมนี้ตกไปอยู่กับพพรรคเพื่อไทย ซึ่งถ้าหากสังเกตดีๆ คือ สว.บอกยังไม่มั่นใจ ยังไม่ไว้วางใจ ในการยกมือโหวตให้นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีหลักฐานที่นายเศรษฐาและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหลายคนของพรรคเพื่อไทย ยืนยันชัดเจนว่าจะแก้ ม.112 แม้จะยืนยันว่าไม่แก้ ไม่แตะแล้ว แต่สว.ยังไม่เชื่อใจ เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทย ยังไม่สามารถรวบรวมเสียงเกิน 376 เสียง

 

และยัง อยากให้พรรคก้าวไกลช่วยโหวตให้ด้วยทำให้หลายคนมองว่าเป็นการเกลียดเสียกันเกี้ยะเซียะกัน เพื่อหลอกสว.และอีกฝากฝั่งหนึ่งยกมือโหวตให้พรรคเพื่อไทยก่อน แล้วค่อยเอาก้าวไกลมาร่วมรัฐบาลทีหลัง ยิ่งทำให้สว.อีกฝั่งจะไม่โหวตให้ จึงรวมเสียงไม่ได้ และอีกประเด็นคือพรรคเพื่อไทย ยังไม่กล้าที่จะประกาศ จับมือกับพรรคพลังประชารัฐและพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงทำให้โอกาสที่ สว. จะยกมือโหวตให้เป็นไปได้ยากมาก แม้จะเป็นพรรคอันดับสองที่มีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาล แต่ตัวเองอยู่ในภาวะโดดเดี่ยว

 

ส่วนพรรคเพื่อไทย และนายเศรษฐา จะลักษณะเดียวกันกับที่นายพิธาโดนหรือไม่ รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่า ถ้าจากมุมของพรรคเพื่อไทยก็เห็นใจ เพราะมีวาระการนำนายทักษิณกลับบ้าน และหากได้กลับ จะต้องได้แก้วสามประการ คือ 1.ประธานสภาฯ 2.นายกรัฐมนตรี และ3.มวลชน ที่ตอนนี้ได้แก้วดวงแรกเท่านั้น และมวลชนแตกกระจาย อำนาจการต่อรองจึงไม่มีเลย และจำเป็นที่จะต้องได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมคิดว่าพรรคเพื่อไทย ก็ดูอาการยุบพรรคเช่นเดียวกัน

 

จึงทำให้ไม่ทางเลือก หากไม่ยอมจำนงต่อเงื่อนไขที่ยื่นมา พรรคเพื่อไทยจะไม่มีโอกาสได้จัดตั้งรัฐบาลเลย ซึ่งหากครั้งนี้นายทักษิณ ไม่ได้กลับบ้านก็ถือว่ามีโอกาสน้อยลง เป็นขบวนรถคันสุดท้ายแล้ว ซึ่งจากภาพที่เห็นโอกาสมันยากแล้วเว้นแต่จะปล่อยทุกอย่าง ให้กระทรวงสำคัญแก่พรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ แล้วตัวเองเลือกไว้เฉพาะตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยอมกลืนเลือดเพื่อให้นายทักษิณได้กลับ และเร่งขับเคลื่อนนโยบายที่เคยหาเสียงเอาไว้ โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับปากท้องประชาชน ถึงแม้ตอนนี้คุณจะไม่พอใจเยอะมากแต่หากทำนโยบายให้ดีช่วยปัญหาพยุงราคาสินค้าเกษตรประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้นในระยะเวลา 3 เดือนหรือ5เดือน ก็คิดว่าสามารถ สร้างคะแนนนิยมได้นี้

 

 

ทั้งนี้ รศ.ดร.โอฬาร ยังมองว่าขั้วอำนาจเดิมยังคงจับมือกันแน่น ซึ่งถือว่าพรรคเพื่อไทย พลาดถึงสองครั้ง โดยครั้งแรกทำ MOU และครั้งที่สอง ฉีก MOU แล้วทำให้โดดเดี่ยวตั้งรัฐบาลก็ไม่ได้สว. ก็ไม่ยกมือโหวตให้ ต้องพึ่งพา พรรคภูมิใจไทย 70 เสียง ซึ่งมีอำนาจในการต่อรองสูง ส่วนพลังประชารัฐ แม้เสียงจะน้อย แต่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ก็มีอิทธิพลในปีกของสว. พรรคเพื่อไทย จึงต้องยอมโดยยกตัวอย่างในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องโยกตำแหน่งสำคัญให้พรรคอื่นไปหมด เว้นเพียงแค่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งลักษณะอาการเป็นเหมือนกัน

 

 

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เหมือนถูกบีบทั้งหมด โดยล่าสุด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ออกมาแฉนายเศรษฐา จึงทำให้โอกาสการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีถูกกีดกัน ทุกอย่างบีบให้อำนาจไหลไปที่พล.อ.ประวิตร ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งถือเป็นพรรคอันดับสาม สามารถเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้คิดว่านายอนุทิน คงรู้ว่าเงื่อนไขทางการเมือง การจะรับไม้ต่อ คงมีการประเมินว่าไม่เอื้อต่อสถานการณ์ในตอนนี้ เพราะมีคนที่อยากจะเป็นจริงๆ รออยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube