fbpx
Home
|
ข่าว

“เสรี” ไม่เลือก “พิธา” ชี้ต่อให้พูดไม่แก้ ม.112ก็ไม่เชื่อ

Featured Image
“เสรี” หนักแน่นไม่เลือก “พิธา” ชี้ ต่อให้พูดไม่แก้ ม.112 ตอนนี้ก็ไม่เชื่อ โอด ส.ว. รับจบทนเสียงก่นด่าตลอด 4 ปี ย้ำทำหน้าที่ป้อง 3 เสาหลักของชาติ ยันเคารพเสียงของประชาชน

 

 

 

นายเสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา ลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า ในการพิจารณานี้ให้รัฐสภาชุดแรกทำหน้าที่สำคัญในการให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นบุคคลซึ่งสมควรพิจารณาให้ที่ประชุมแห่งนี้ได้พิจารณาเป็นสำคัญ ตนต้องกราบเรียนตั้งแต่ตอนแรกว่านายพิธาที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่สมควรที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีเหตุผลสำคัญ ในฐานะที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา ดังต่อไปนี้

 

 

นายเสรี กล่าวว่า เราก็ถูกกล่าวในถ้อยคำที่รุนแรงมาตลอด ถามว่าเราไม่ให้ความเคารพประชาชนหรือไม่ เราก็ให้ความเคารพ และในการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา ก็แยกส่วนจากเสียงประชาชนที่ลงคะแนนเลือกตั้งให้ส.ส.แต่ละพรรคเข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งเป็นส่วนนั้นจบไปแล้ว ประชาชนเลือกแล้วว่าพรรคไหนได้คะแนนเท่าไหร่มี ส.ส.มากเท่าไหร่ แต่การทำหน้าที่ในรัฐสภาอย่างนี้เป็นกระบวนการอีกส่วนหนึ่ง

 

 

นายเสรี ระบุว่า ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เป็นหลักการสำคัญว่าบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จะต้องไม่มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้าม ตามที่บัญญัติไว้ ดังนั้นเมื่อจะทำหน้าที่กันในวันนี้ มีวันนัดประชุมรัฐสภา ก็มีกระบวนการที่ให้ประชาชนออกมาแสดงเจตจำนงหลายจังหวัดทั่วประเทศ จนผู้สื่อข่าวถามตนว่าไม่กลัวเสียงประชาชนที่อยู่นอกสภาหรือที่สนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็ต้องตอบว่า กลัวประชาชนกลัวมาก กลัวว่าจะเข้าใจผิด วุฒิสภา ไม่ให้ความเคารพเสียงของประชาชน แต่ด้วยความเกรงกลัวเสียงสนับสนุนของประชาชนเหล่านั้น เราก็เล็งเห็นว่าการทำหน้าที่ของวุฒิสภาดีกว่านี้ต้องทำหน้าที่เพื่อรักษาปกป้องประเทศ รักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

 

ดังนั้นความกลัวที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะกลัวประชาชนที่มารวมตัวออกกันมามากมายมหาศาล กลัวเสียงที่มาข่มขู่ให้ร้ายพูดจาด่าทอเสียดสีสารพัด เราก็กลัว แต่กลัวน้อยกว่าความรู้สึก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องออกมาปกป้องประเทศปกป้องสถาบัน ที่เป็นภารกิจสำคัญที่เป็นคนละส่วนของการทำหน้าที่ในรัฐสภา คนละส่วนกับการที่ประชาชนได้เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว

 

 

ส่วนการทำหน้าที่ในรัฐสภานี้ ก็มีเสียงพูดอีกว่าเสียงที่สนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองรวม 8 พรรค ได้คะแนน 312 เสียง มีประชาชนมอบเสียงรวมกัน 25 ล้านเสียง หรือ 30 ล้านเสียง แต่พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียง 14 ล้านเสียง ซึ่งก็ต้องกราบเรียนว่าเสียงที่พรรคก้าวไกลได้จากประชาชนนั้น 14 ล้านเสียง อย่าสำคัญผิดว่าตัวเองได้ 30 ล้านเสียง เสียงที่เหลือนั้นเป็นของพรรคอื่นที่ประชาชนลงคะแนนให้ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนถึง 10 ล้านเสียง ถือว่าไม่น้อย ได้รับมาจำนวนมหาศาล แต่ประชาชนของแต่ละพรรคเหล่านั้น เขาไม่ได้เลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยก็ประสงค์ที่จะลงคะแนนให้พรรคเพื่อไทย เรียกน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายเศรษฐา ทวีสิน นายชัยเกษม นิติสิริ

 

 

นายเสรี ระบุว่า ขอทำความเข้าใจว่าวุฒิสภาเคารพเสียงของประชาชน แต่เสียงที่ได้มาไม่ได้ตามเจตนารมย์ของประชาชนที่เลือกพรรคนั้นมา ทำให้ต้องกราบเรียน มิฉะนั้นแล้ว จะถูกต่อว่าต่อขานตลอดว่าไม่เคารพประชาชน ไม่นับถือประชาชน การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาจะต้องทำหน้าที่ตามหลักของมาตรา 272 ที่จะต้องเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ที่กำหนดคุณสมบัติเรื่องห้ามถือหุ้นสื่อไอทีวี

 

 

นายเสรี ย้ำว่า หากเลือก โดยไม่คำนึงถึงเรื่องคุณสมบัติที่มีความปรากฏชัดไปแล้วก็เท่ากับว่าผิดรัฐธรรมนูญ ต้องฝากไว้ในส่วนวุฒิสภาให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ และยืนยันหลักการสำคัญมาโดยตลอดว่าการทำหน้าที่เป็นผู้นำประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรี หรือเข้าไปบริหารประเทศนั้น จะต้องมีพฤติการณ์หรือการกระทำที่แสดงออกอย่างชัดเจนในการที่จะไม่กระทำการใดๆ อันเป็นการลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ปกป้องไม่เชิดชูสถาบัน

 

หากเรามาพูดถึงมาตรา 112 ต้องเรียนให้ประธานรัฐสภาและสมาชิกประชาชนทั่วประเทศได้รับฟังให้ชัดเจน ว่าการแก้กฎหมายมาตรา 112 นั้นเป็นเพียงการแสดงเจตนาในการแก้กฎหมาย การสิ่งที่ตนและสมาชิกวุฒิสภาเกือบทั้งหมดมีความตระหนักและรู้คิดรู้ทันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ ก่อนที่จะเกิดการแก้กฎหมายมาตรา 112 ไม่ได้เกิดจากเหตุผลให้เป็นสากล ไม่ได้เกิดจากเหตุผลที่ต้องสร้างแนวทางกฎหมายให้เป็นที่ปกป้องดูแลประชาชนที่ถูกกลั่นแกล้งในทางการเมืองหรือในทางคดีต่างๆ

 

 

ก่อนที่จะมีการสั่งการไม่เห็นสภาพบ้านเมืองหรือไม่ คนที่จะเป็นผู้นำประเทศ ที่จะเป็นรัฐมนตรี หรือบริหารประเทศต้องมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองต่อประชาชน แต่สิ่งที่ปรากฏสำคัญในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่วุฒิสภาอยู่กัน ก็เพราะปกป้องบ้านเมือง เราเห็นสถานการณ์บ้านเมืองสำคัญที่อยู่นอกสภา แล้วมีการกระทำที่ผิดต่อกฏหมายมากมาย สร้างเสรีภาพแนวคิดให้เด็กเยาวชน ประชาชนทั่วไปไปในแนวทางที่ผิด มีการเสนอแนวคิดต่างๆให้มีการกระทำละเมิดจาบจ้วงสถาบัน

 

 

 

ท่านมาพูดเองคำว่าแก้มาตรา 112 เพราะถูกดำเนินคดี 272 คดี มีคนอยู่ระหว่างดำเนินคดีตอนนี้ 253 คน ตัวเลขมาจากไหน ก็มาจากสิ่งที่สนับสนุนให้เด็กเยาวชนประชาชน คนตั้งหลายคน ก็ทำแต่เรื่องละเมิดสถาบันปรากฏอยู่เป็นคดีมากมาย ท่านบอกไม่ได้สนับสนุน แต่มันปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ อยู่ในคลิปวิดีโอทั้งหลายมากมายในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ท่านออกไปปั่นยุยงส่งเสริมเยาวชนกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ แสดงคำพูดให้ร้ายต่างๆนานา แสดงพฤติกรรมไปในทิศทางให้ร้ายด่าทอ พอคนเหล่านี้ถูกดำเนินคดีก็ใช้สถานะ ส.ส.ไปช่วย

 

 

กลับกลายเป็นยุยงส่งเสริมให้คนกระทำสิ่งเหล่านี้ตอนนี้เยาวชนติดคุกติดตะรางกันเยอะแยะมากมายก็มีการเสนอแก้มาตรา 112 ถ้าเด็กเหล่านี้ไม่ถูกส่งเสริมจะเกิดเรื่องเหล่านี้หรือไม่ เพียงเพื่อต้องการจะได้มวลชน เลยขาดความรับผิดชอบ ทำให้เด็กทำผิดกฎหมาย เสียอนาคต เสียการเล่าเรียน ครอบครัวแตกแยกอย่างที่เป็นอยู่และเห็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ถ้าความเป็นนายกรัฐมนตรียังไม่เคยเห็น นายพิธาปกป้อง ห้ามปรามในสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราไม่เกี่ยว ไม่มีส่วนกระทำการเรื่องเหล่านี้ เราก็ต้องออกไปห้ามปราม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่มีการห้ามปราม กลับไปช่วยกันทั้งประกันตัว ไปให้กำลังใจ ไปขึ้นเวทีเวทีเสร็จ

 

 

เด็กก็ถามว่าจะแก้ไขมาตรา 112 หรือจะยกเลิกท่านก็บอกว่าจะแก้ไข ถ้าแก้ไขไม่ได้จะยกเลิก แล้วก็ไปติดสติกเกอร์ในส่วนที่ยกเลิกมาตรา 112 จึงเป็นที่มาที่ไป สิ่งที่สมาชิกวุฒิสภาไม่ได้ปฏิเสธในเรื่องที่จะทำอะไรก็ตามถ้าทำได้ตามกฏหมาย แต่สิ่งที่ทำปรากฏชัดเจนว่าเป็นการล้มล้าง ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วจะให้ทางตนเองหรือสมาชิกวุฒิสภาเองไปสนับสนุนให้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไปบริหารประเทศนั้นมันก็จะผิดวิสัย

 

 

 

นายเสรี กล่าวต่อว่า หากพูดไปแล้วอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วลุกขึ้นมาพูดว่าจะไม่แก้ไขมาตรา 112 จะไม่ดำเนินการ 112 แล้ว ถ้าจะพูดก็พูดมา แต่ตนไม่เชื่ออะไร เพราะตนไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมายาวนานมาถึงปัจจุบัน จะมาพูดแค่คำคำเดียวไม่แก้ 112 แล้ว เพื่อต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็คิดว่ามันเป็นการหลอกลวง เมื่อวานพูดอย่างนี้วันนี้พูดอย่างนี้ ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วพรุ่งนี้ไม่กลับมาแก้อีกหรือไม่

 

 

สิ่งที่พูดไปทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดจากความไม่ชอบและรู้สึกไม่ดี แต่เป็นหน้าที่ภารกิจสำคัญของความเป็นสมาชิกวุฒิสภา ที่อยู่ในสภาแห่งนี้ ด้วยเสียงกรนด่าว่าพูดจาด่าทอเสียดสี ไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพยำเกรง เราทนมาตลอดเพื่อปกป้องสิ่งซึ่งเป็นเสาหลักของชาติ ความสำคัญ ความมั่นคงของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้เราจะต้องอยู่ เพื่อไม่ให้ลุกลามเกิดขึ้นในบ้านเมืองไทย

 

 

ซึ่งเสียงในการลงคะแนนมติต่างๆอยากจะขอกราบเรียนด้วยความเคารพ ว่าเราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดที่จะไม่ให้ความเคารพพี่น้องประชาชน หลังจากลงมติไปแล้วถ้าได้เสียงประชาชนสนับสนุนจนเกิดให้ทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ตนก็ยินดี แต่ถ้าหากเสียงไม่ถึงก็ต้องกราบเรียนด้วยความเคารพ ว่าท่านจะต้องไม่แสดงพฤติกรรมการกระทำใดๆ ที่จะปลุกม็อบ ไปเรียกร้องไปดำเนินการใดๆ ให้คนในประเทศนี้ออกมาสนับสนุน ผลักดัน เรียกร้องให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะการโหวตเป็นกติกาทางรัฐธรรมนูญ

 

 

มีประชาชนมาเรียกท่านนายกพิธา ตนก็เห็นว่าเป็นความต้องการของประชาชน เป็นความรัก เป็นความเชื่อ เป็นความศรัทธา แต่พออยู่ในกระบวนการในการพิจารณาตรวจสอบคุณสมบัติ ความประพฤติ ตนไม่อยากเห็นภาพที่นายพิธาเดินลงพื้นที่ และมีประชาชนมาก้มกราบท่าน ทั้งที่ยังไม่เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ตนได้คิดว่าสิ่งที่ปรากฏ อันเกิดจากการที่ประชาชนเขาอยากจะกราบจริงหรือ หรือจ้างคนมา

 

 

นายเสรี กล่าวว่า คนที่เชียร์นายพิธา ถ้าฟังแล้ว จะเลือกคนที่มีคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามขัดต่อรัฐธรรมนูญกระทำการอันเป็นการที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงมาตรา 112 ให้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะฉะนั้น ขอให้นำเรื่องเหล่านี้ไปพิจารณา ก่อนที่จะออกมาชุมนุมเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนช่วยกันสนับสนุนให้เป็นนายกอีกครั้ง ตนไม่เห็นด้วยที่นายพิธาและพรรคก้าวไกลเป็นผู้บริหารประเทศหรือเป็นนายกรัฐมนตรี

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube