fbpx
Home
|
ข่าว

“วิโรจน์” ชี้ ปัญหาข้าราชการ คือการซื้อขายตำแหน่ง

Featured Image
“วิโรจน์” ชี้ ปัญหาข้าราชการ คือการซื้อขายตำแหน่ง ทำข้าราชการน้ำดีไม่มีโอกาสเติบโต ย้ำ ต้องทำให้ ป.ป.ช. มีโครงสร้างยึดโยงกับประชาชน ชม ผู้ว่าฯ กทม. ทำงานได้ดี แต่ พ.ร.บ. กทม. เก่าเกินไป

 

 

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 66 ที่ศาลาว่าการกทม.1 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ กล่าวถึงกรณีส่วยและปัญหาของกรุงเทพมหานคร ว่า เราต้องรื้อฟื้นความเชื่อมั่นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งปัญหาที่ถูกซุกอยู่ในวงการข้าราชการในภาพรวม นั่นคือเรื่องซื้อขายตำแหน่ง ที่ทำให้ข้าราชการที่ตั้งใจทำงานไม่มีโอกาสที่จะเติบโต โดยเฉพาะในวงการตำรวจ โดย พลตำรวจเอก วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจก็ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี ที่เคยพูดถึงการซื้อขายตำแหน่ง

 

 

“ระบบตั๋วที่มันสืบทอดยาวนานมาในแวดวงข้าราชการ 8-9 ปี ทำให้เกิดการถักทอเครือข่ายจากรุ่นสู่รุ่น และกลายเป็นคอรัปชั่นระบบการส่งส่วยแบบฝังรากลึก ที่ไม่ใช่แค่การส่งจากล่างขึ้นบนแต่เป็นการส่งข้ามรุ่นด้วย คิดว่ารัฐบาลก้าวไกลจะทำให้ข้าราชการที่มีความสุจริตและตั้งใจทำงานกลับมามีรอยยิ้ม และภาคภูมิใจในความเป็นข้าราชการได้อีกครั้งหนึ่ง” นายวิโรจน์กล่าว

 

 

นายวิโรจน์กล่าวว่า การแต่งตั้งโยกย้ายต้องมีความเป็นธรรม แต่ก็ต้องทบทวนโครงสร้างของ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) ให้มีความโปร่งใสเป็นธรรม และในส่วนขององค์กรอิสระที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบ การทุจริต ตรงนี้สิ่งที่ต้องแก้คือต้องแก้รัฐธรรมนูญ เช่น คณะกรรมการปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะตั้งคำถาม ว่าในเมื่อที่มาของท่านไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนประชาชนก็ไว้วางใจท่านให้จัดการ

 

 

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ ป.ป.ช. มีโครงสร้างที่ยึดโยงกับประชาชน ประชาชนก็สามารถถอดถอนได้ การที่องค์กรอิสระต่างๆมาจากกลไกของเผด็จการก็จะเป็นวันที่ท่านต้องมาตรวจกลุ่มเผด็จการก็จะเหมือนกับลูกน้องต้องมาตรวจเจ้านายซึ่งไม่ควรเป็นแบบนั้น เลยทำให้ความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อ ป.ป.ช. และองค์กรอิสระต่างๆค่อนข้างจำกัดซึ่งต้องแก้รัฐธรรมนูญให้มีการยึดโยงกับประชาชน คือต้องมีความอิสระแต่ก็ต้องยึดโยงกับประชาชน

 

 

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับการทำงานขององค์กรอิสระในรัฐบาลนี้ที่ปล่อยให้มีการคอร์รัปชันและส่วย นายวิโรจน์ กล่าวว่าก็ทำงานแต่ทำงานภายใต้ข้อจำกัดพอไปแตะก็พบว่าบุคคลนั้นเป็นคนของคนนี้ความไวของพิจารณาคดีก็ถูกตั้งข้อสงสัย เราไม่ได้กล่าวหาแต่ประชาชนก็มีสิทธิ์ที่จะตั้งข้อสงสัย

 

 

เมื่อถามว่า ตนมายุ่งเรื่องส่วยมีการโดนข่มขู่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่าก็มีสายแปลกๆซึ่งเป็นยุคที่แปลกที่คนที่ทำอย่างถูกต้องต้องมากลัวแต่บอกเสมอว่าเมื่อมีคอมเม้นต์ที่ฝากมาถึงตนหรือพรรคก้าวไกลให้ระวังตัวเองเป็นห่วงจังเลย ต้นคิดว่าอยากคอมเม้นต์แบบนั้นเลยขอแค่ยินดียืนข้างวิโรจน์เต็มใจที่จะยืนข้างพรรคก้าวไกลและถ้ามีใครทำอะไรวิโรจน์หรือทำอะไรพรรคก้าวไกลประชาชนจะเป็นเกราะกำบังซึ่งก็มีทั้งโทรมาด่าและมีการโทรมาคุยกันสองคนบ้าง คล้ายทำให้เราแอบฟัง

 

 

“เปลี่ยนจากคำว่าเป็นห่วงและระวังตัว คำว่าระวังตัวเป็นคำพูดไปเปิดแต่ไม่มีวิธีแก้ เปลี่ยนเป็นคำพูดที่ว่าคุณทำตามหน้าที่ไปเถอะประชาชนจะปกป้องคุณเองและประชาชนทุกคนส่งสัญญาณเตือนไปยังบุคคลที่กระทำผิดกฏหมายอยู่ด้วยว่าไม่ว่าจะนานแค่ไหนถ้าคุณทำอะไรวิโรจน์ทำอะไรก้าวไกลหรือทำไรสอสอที่ทำตามหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตประชาชนจะไม่ปล่อยคุณเอาไว้แน่” นายวิโรจน์กล่าว

 

 

ส่วนในกรณีที่ ส.ก. ก้าวไกลยื่นหนังสือให้ ผู้ว่ากทม. ในการสั่งย้ายข้าราชการ4คน นายวิโรจน์กล่าวว่าเรื่องนั้นต้องคุยกับทาง ส.ก. และทาง กทม. แต่เข้าใจว่าน่าจะเป็นเรื่องของข้อสงสัย และเป็นเรื่องของความโปร่งใสของโครงการต่าง ๆ ภายในเขตจากการชี้แจงล่าสุดของ ส.ก. ก็บอกว่าเป็นการ ทำหนังสือเสนอและความโปร่งใสในกระบวนการตรวจสอบและข้อเท็จจริงจึงเสนอทางเลือกในการพิจารณาว่าอาจจะโยกย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอื่นไปก่อนหรือเปล่า แต่ในรายละเอียดให้คุยกับทาง ส.ก. เองมากกว่า เพราะตนทราบเรื่องเท่ากับสื่อมวลชน

 

 

นายวิโรจน์กล่าวว่าทางผู้ว่าฯ ทำงานได้ดีแต่ พ.ร.บ. กทม. เป็นฉบับเก่ามากตั้งแต่ 2528 บางเรื่องท่านผู้ว่าก็อยากจะทำแต่ตามกฎหมายก็มีข้อจำกัด วันนี้เลยมาหารือกันว่าจะทำยังไงในการแก้ไข พ.ร.บ. กทม. ที่จะทำให้ผู้ว่าฯ มีอำนาจเต็มมากขึ้นในการที่จะดูแล สาธารณูปโภค และแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน รวมถึงประชาชนที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพมหานคร ผู้ว่าฯกอทอมอไม่ใช่แค่พูว่าสำหรับคนที่บ้านอยู่กรุงเทพแต่ยังเป็นผู้ว่าของคนทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครหรือแวะเวียนมาเที่ยวกรุงเทพมานคร

 

 

นายวิโรจน์กล่าวทิ้งท้ายว่า เบื้องต้นเป็นการดูแลในเรื่องของสาธารณูปโภคและเรื่องของการแก้กฎหมายโดยเฉพาะ พ.ร.บ. กรุงเทพมหานครก็ทอมอเหลื่อมล้ำจากจังหวัดอื่นทั้งทั้งที่เป็นเมืองใหญ่อย่างกรณีของภาษีที่ดิน ที่นายชัชชาติได้สะท้อนมาปรากฏว่าภาษีที่ดิน กทม. เก็บได้เป็นการเก็บจากประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อยในขณะที่นายทุนใหญ่จ่ายน้อยลงซึ่งเป็นความเหลื่อมล้ำที่ต้องมาทบทวนกฎหมายภาษีที่ดินให้มีความเป็นธรรมกับประชาชนมากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube