Home
|
อาชญากรรม

ทนายอั๋นกดดัน DSI เดินหน้าอั้งยี่–ฟอกเงินฮั้ว สว. หลังยุบสภา

Featured Image
ทนายอั๋น บุรีรัมย์ ยื่นหนังสือถึงอธิบดีดีเอสไอ ขอเร่งรัดคดีอั้งยี่–ฟอกเงิน ฮั้วเลือก สว. ชี้จังหวะยุบสภาทำการเมืองแทรกแซงได้น้อย จี้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม ไม่ควรตัดจบแค่ 8 ราย

 

วันนี้ ( 18 ธ.ค 68) ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ “ทนายอั๋น บุรีรัมย์” เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ณ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ เพื่อขอให้เร่งรัดการดำเนินคดีอาญาอั้งยี่และฟอกเงิน

 

กรณีขบวนการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยเรียกร้องให้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติมจากเดิมที่ดีเอสไอส่งสำนวนฟ้องไปแล้วเพียง 8 ราย พร้อมย้ำว่าคดีดังกล่าวไม่ควรถูกตัดจบเพียงเท่านี้

 

ทนายอั๋น ระบุว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนแปลง จากการประกาศยุบสภา ซึ่งทำให้อำนาจทางการเมืองที่จะเข้ามาแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

จึงเห็นว่าเป็น “จังหวะสำคัญ” ที่ดีเอสไอควรเร่งเดินหน้าคดีตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ ความตรงไปตรงมา และความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ

 

ทนายอั๋นกดดัน DSI เดินหน้าอั้งยี่–ฟอกเงินฮั้ว สว. หลังยุบสภา

 

ทนายอั๋น เปิดเผยว่า แม้ดีเอสไอจะมีการสรุปสำนวนคดีอั้งยี่–ฟอกเงิน สว. และส่งฟ้องผู้ต้องหา 8 ราย ต่ออัยการคดีพิเศษเรียบร้อยแล้ว แต่ตนยังไม่เชื่อว่าคดีจะดำเนินไปอย่างถึงที่สุด เนื่องจากจากหลักฐานเส้นทางการเงินที่ตนครอบครอง พบว่ามีบุคคลเกี่ยวข้องมากกว่านั้นอย่างชัดเจน การกล่าวโทษเพียง 8 รายจึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในทางคดี

 

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า คดีฮั้วเลือก สว. ในส่วนของกฎหมายเลือกตั้งที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กกต. อาจถูกล้มคดีภายในระยะเวลาไม่นานหลังการยุบสภา ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบางประการแล้ว

 

และตน ได้รับข้อมูลว่า คณะอนุกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้ง คณะที่ 36 ได้มีความเห็นในสำนวนคดีฮั้วเลือก สว. และเสนอไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

ขณะที่ก่อนหน้านี้ คณะอนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 เคยมีความเห็นให้ดำเนินคดีกับบุคคลรวมกว่า 229 ราย แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า กกต. จะสั่งฟ้องจริงกี่ราย โดยเชื่อว่าจะมีการคัดแยกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ถูกดำเนินคดี

 

และกลุ่มที่ถูกตัดออกจากกระบวนการ โดยเฉพาะกรณีที่ไม่เชื่อมโยงกับพรรคการเมืองหรือผู้บริหารพรรคบางพรรค

 

ทนายอั๋น ยังตั้งข้อสังเกตถึงบทบาทของประธาน กกต. คนใหม่ ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากสมาชิกวุฒิสภา ทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์เป็นกรรมการ กกต. มาก่อน โดยมองว่าคุณสมบัติด้านการพิจารณาคดีเลือกตั้งอาจไม่ได้โดดเด่น และอาจส่งผลต่อทิศทางการตัดสินคดีฮั้วเลือก สว. ในอนาคต พร้อมเรียกร้องให้สังคมจับตาว่าคดีดังกล่าวจะถูกล้มภายในสิ้นปี 2568 หรือไม่

 

ในส่วนของพยานหลักฐานทางการเงิน ทนายอั๋น ได้นำเอกสารและภาพผังเส้นทางการเงินของขบวนการฮั้วเลือก สว. ในจังหวัดอำนาจเจริญมายื่นประกอบการร้องเรียน โดยระบุว่าบุคคลสำคัญอักษรย่อ “ญ.” ได้โอนเงินให้ กกต. รวมเป็นเงิน 870,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2567 ถึงวันที่ 28 มกราคม 2568

 

โดยมีการโอนก้อนใหญ่ 500,000 บาท เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2567 นอกจากนี้ บุคคลอักษรย่อ “ญ.” ยังมีความเชื่อมโยงทางการเงินกับผู้ต้องหา 8 รายที่ถูกส่งฟ้องในคดีอั้งยี่–ฟอกเงิน รวมถึงนักการเมืองอักษรย่อ “ช.” ในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน

 

ทนายอั๋น กล่าวต่อว่า บุคคลอักษรย่อ “ญ.” ถือเป็นมือขวาของผู้มีอิทธิพลในจังหวัดอำนาจเจริญ ขณะที่บุคคลอักษรย่อ “ร.” ทำหน้าที่เป็นมือซ้าย คอยกระจายเงินให้กับกลุ่มต่าง ๆ ผู้สมัคร สว. และ สว.สอบตก โดย “ร.” รับโอนเงินมาจาก “ญ.” อีกทอดหนึ่ง และยังมีข้อมูลว่า “ร.” ทำหน้าที่เป็นฝ่ายการเงินให้กับพรรคการเมืองบางพรรคในภาคอีสานด้วย

 

นอกจากนี้ ยังพบการโอนเงินจำนวน 500,000 บาท จากบุคคลอักษรย่อ “ญ.” ไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับการโอนเงินให้ กกต. และสอดคล้องกับไทม์ไลน์การสมัครและการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568

 

 

คณะนุกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ กกต. และดีเอสไอ เคยมีความเห็นให้ดำเนินคดีกับ สส. จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมถึงบุคคลอักษรย่อ “ร.” และ “ญ.” แล้ว แต่กลับไม่ปรากฏชื่อบุคคลเหล่านี้ในสำนวนคดีอาญาอั้งยี่–ฟอกเงิน สว. ของดีเอสไอและอัยการ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า บุคคลเหล่านี้ถูกตัดออกจากสำนวนหรือถูกกันไว้เป็นพยานหรือไม่

 

ท้ายที่สุด ทนายอั๋น ย้ำว่า ดีเอสไอไม่ควรตัดจบคดีเพียงผู้ต้องหา 8 ราย และควรออกหมายเรียกผู้ต้องหาเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินในจังหวัดอำนาจเจริญ อย่างน้อยประมาณ 15 ราย ซึ่งมีบทบาทโดยตรงในขบวนการดังกล่าว

 

 

พร้อมย้ำว่านี่คือช่วงเวลาที่การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้น้อยที่สุด และเป็นบทพิสูจน์สำคัญของกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าจะสามารถยืนหยัดทำหน้าที่อย่างเป็นอิสระและยึดหลักนิติธรรมได้หรือไม่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube