“นิกร” หนุนทำประชามติแก้ รธน. พร้อมเลือกตั้ง-ชี้วาระ 3 ยังเสี่ยง
“นิกร”หนุนทำประชามติแก้ รธน. พร้อมเลือกตั้ง ลดงบ 4–5 พันล้าน ชี้วาระ 3 ยังเสี่ยง ต้องคุย ส.ว. เพิ่ม ขณะเร่งปิดรายงานศึกษา MOU 43-44 ให้ทันอายุสภา ชี้ ยังเห็นต่างเรื่องยกเลิก–ไม่ยกเลิก ส่งข้อสังเกต โยนให้ ครม. ตัดสินใจต่อ
นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา และเลขานุการกรรมการร่วมกันเพื่อพิจารณาประชามติ ให้สัมภาษณ์ถึงการทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถจัดควบคู่กับการเลือกตั้งได้ทัน โดยไม่จำเป็นต้องเปิดประชุมวิสามัญ แต่ที่มีการเรียกประชุมวันนี้อาจเป็นไปตามข้อตกลง MOA ที่กำหนดให้แก้รัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในปีนี้
โดยนายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นญัตติตั้งคำถามประชามติข้อที่ 1 แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุชัดว่าคำถามประชามติต้องออกโดยรัฐสภาเท่านั้น จึงไม่สามารถใช้ พ.ร.บ.ประชามติ เป็นฐานดำเนินการได้
ทั้งนี้ รัฐสภาสามารถพิจารณาญัตติได้ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม และประธานรัฐสภามีอำนาจกำหนดว่า จะบรรจุญัตติก่อนหรือหลังการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 เมื่อรัฐสภามีมติแล้ว ครม. จะต้องออกกฤษฎีกาจัดประชามติภายใน 60–150 วัน ซึ่งสอดรับกับไทม์ไลน์การเลือกตั้งวันที่ 29 มีนาคม 2569 หากมีการยุบสภาตาม MOA
พร้อมย้ำว่า หากทำประชามติพร้อมเลือกตั้งจะช่วยประหยัดงบประมาณอย่างน้อย 4–5 พันล้านบาท ลดภาระประชาชนไม่ต้องออกไปลงคะแนนสองครั้ง พร้อมชี้ว่าปัญหางบประมาณเป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้การแก้รัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 ยังมีประเด็นที่ต่างจากฝ่ายวุฒิสภา แต่เชื่อว่าในวาระ 2 ฝั่ง ส.ส. จะเหนือกว่าเพราะใช้เสียงข้างมาก แต่ในวาระ 3 ที่ต้องใช้เสียง ส.ว. อย่างน้อยหนึ่งในสาม ยัง “ล่อแหลม” และจำเป็นต้องพูดคุยกันอีกครั้งเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด โดยย้ำว่าการโต้แย้งกันไปมาไม่มีประโยชน์
ขณะเดียวกัน นายนิกร ในฐานะประธานคณะทำงานจัดทำรายงานของคณะกรรมาธิการศึกษา MOU 2543–2544 เปิดเผยว่า คณะกรรมาธิการต้องเร่งสรุปรายงานให้เสร็จภายในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ เพื่อให้ทันต่อวาระของสภาที่เหลืออยู่ และตอบสนองต่อรัฐบาลที่รอผลพิจารณาอย่างเป็นทางการ
โดยภายในคณะกรรมาธิการยังมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย ทั้งผู้ที่ต้องการ “ยกเลิก” และ “ไม่ยกเลิก” MOU 43-44 ทำให้ต้องใช้วิธีเปิดให้กรรมาธิการแต่ละคนแสดงความเห็นในรายงานอย่างชัดเจน เพื่อส่งข้อมูลให้สภาพิจารณาแบบรอบด้านที่สุด
พร้อมย้ำว่า จุดตั้งต้นของการศึกษาครั้งนี้ไม่ได้มีกรอบว่าต้องยกเลิกหรือไม่ยกเลิก MOU แต่สถานการณ์ชายแดนที่มีการปะทะเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการพิจารณา ส่งผลให้ประเด็นนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งของข้อถกเถียงและข้อสังเกตต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องเสนอไปพร้อมรายงาน
สำหรับรายงานครั้งนี้จะเป็นความเห็นของสภา ไม่ใช่ความเห็นเฉพาะของรัฐบาลหรือผู้นำฝ่ายใด พร้อมชี้ว่า เมื่อสภาไม่สามารถตั้งคำถามเองได้ ขั้นตอนทั้งหมดจำเป็นต้องส่งต่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาและตัดสินใจ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
และขอย้ำว่าความเห็นจากคณะกรรมาธิการจะเป็นอีกหนึ่งกลไกช่วยประคับประคองสถานการณ์ประเทศในช่วงสำคัญนี้ แต่สุดท้าย “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรัฐบาล” ในการกำหนดทิศทางต่อไปของ MOU 43-44
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





