Home
|
ข่าว

“สุรพงษ์” เปิดโจทย์ใหญ่ “การเมืองของอาหาร” พลังเศรษฐกิจ

Featured Image
“สุรพงษ์” เปิดโจทย์ใหญ่ “การเมืองของอาหาร” ชี้ถึงเวลาสร้างอุตสาหกรรมอาหาร และสุราไทยให้เป็นพลังเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ

 

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ได้รับเชิญให้ร่วมเสวนาในหัวข้อ “Politics of Food – การเมืองของอาหาร” เพื่อถ่ายทอดประสบการณทั้งในฐานะผู้กำหนดนโยบาย และผู้ผลักดันให้ซอฟต์พาวเวอร์ไทยกลายเป็นวาระแห่งชาติ โดยมี สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ และ กรณ์ จาติกวณิช ร่วมเสวนาด้วย

 

อาหารคือนโยบาย ไม่ใช่แค่เมนู : จากจานอาหารสู่การกำหนดนโยบาย

 

นพ.สุรพงษ์ เปิดประเด็นว่า “อุตสาหกรรมอาหารไทย ต้องยกระดับทั้งคุณค่า ราคา และรายได้” พร้อมชี้ว่า ประเทศไทยนั้นมีทุนทางอาหารที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราคิด ทั้งวัตถุดิบ ภูมิปัญญา รสชาติ และวัฒนธรรม แต่ในอดีต เราเน้นแข่งขันกันด้วย “ราคา” ไม่ใช่ “คุณค่า” ทำให้อุตสาหกรรมอาหารไทยต้องแข่งขันในสนามที่ไม่ยุติธรรม

 

“ปัญหาไม่ใช่ว่าอาหารไทยไม่อร่อย แต่คือเรายังไม่สร้างระบบให้อาหารไทย ‘มีศักดิ์ศรี’ ในเวทีโลก เราขายของดี แต่ได้ราคาเหมือนของธรรมดา”

 

นพ.สุรพงษ์ ได้เล่าย้อนว่าเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มีนโยบาย “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ที่ยกระดับอุตสาหกรรมอาหารไทยอย่างเป็นระบบ แต่ภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549 อุตสาหกรรมอาหารไทยถูกปล่อยให้เติบโต กันเองตามยถากรรม แต่ถึงกระนั้น อาหารไทยกลับเติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยกำลังของภาคเอกชนกันเอง

 

“อาหารไทยมีศักยภาพที่จะเปล่งประกาย แต่จะทำอย่างไรให้อาหารไทยไปสู่ระดับโลกได้อย่างแท้จริง หากมีแรงส่งจากทั้งภาครัฐและเอกชน อาหารไทยจะไปได้ไกลกว่านี้มาก”

 

อาหารไทยต้องเดินไปทางไหน?

ในวงเสวนามีคำถามสำคัญว่า ประเทศไทยควรเลือกทางไหนระหว่าง “ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)” กับ “การยกระดับอาหารไทย (Premiumization)” เพราะหลายคนมองว่าทั้งสองเรื่องนี้เดินไปด้วยกันไม่ได้

 

นพ.สุรพงษ์ อธิบายอย่างชัดเจนว่า ทั้งสองเป้าหมายสามารถทำควบคู่กันได้ โดยยกตัวอย่างนโยบายที่คุ้นเคยกันดีอย่าง “30 บาทรักษาทุกโรค” และ “Medical Hub”

 

นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค คือระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้คนไทยทุกคนเข้าถึงบริการพื้นฐานได้อย่างเท่าเทียม และนโยบาย Medical Hub คือการใช้ความแข็งแกร่งด้านการแพทย์ของไทยดึงดูดผู้ป่วยต่างชาติที่ยอมจ่ายในราคาพรีเมียมเพื่อสร้างรายได้กลับเข้าสู่ประเทศ

 

แม้จะดูต่างกัน แต่ทั้งสองนโยบายดำเนินไปพร้อมกันได้ และต่างก็สร้างประโยชน์ให้ประเทศในคนละมิติหนึ่งคือความเป็นธรรมและความมั่นคงพื้นฐาน อีกมิติหนึ่งคือโอกาสทางเศรษฐกิจระดับพรีเมียม

 

นพ.สุรพงษ์ ชี้ว่า อุตสาหกรรมอาหารไทยก็สามารถเดินแบบเดียวกันได้เช่นกัน คือ ทำให้ระบบอาหารไทยมั่นคงเพียงพอ คนไทยไม่อดอยาก และในเวลาเดียวกัน ก็สร้างผลิตภัณฑ์อาหารพรีเมียมที่เจาะกลุ่มผู้บริโภครายได้สูง ทั้งในและต่างประเทศ นี่คือแนวทางที่ทำให้ประเทศไทยดูแลคนทุกกลุ่มได้ครบ ทั้งผู้บริโภคทั่วไป คนรายได้น้อย เกษตรกร และในขณะเดียวกัน ก็สามารถสร้างเศรษฐกิจใหม่จากซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทยบนเวทีโลกได้ด้วย อุตสาหกรรมอาหารไทยต้องการ “เจ้าภาพ”

 

หัวใจของการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารไทย ไม่ได้อยู่แค่การทำผลิตภัณฑ์ให้อร่อยหรือราคาดีอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ระบบนิเวศ” ว่ามีคนรับผิดชอบจริงหรือไม่ และนี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน อุตสาหกรรมที่มีมูลค่า หลักล้านล้านบาท ผู้เล่นยังกระจัดกระจาย แต่ไม่มี “เจ้าภาพ” ที่ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง

 

นพ.สุรพงษ์ เล่าว่าในอดีต ช่วงขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ เราเคยมีบทบาทของ “สถาบันอาหาร” ที่ทำหน้าที่เหมือนแกนกลาง แม้งบจะไม่ถึงร้อยล้าน แต่ก็ยังพอเห็นทิศทาง เมื่อรัฐเลิกเป็นผู้นำ และหันมาใช้แนวคิด “เอกชนนำ รัฐสนับสนุน” ทุกอย่างเริ่มเดินหน้า เพราะเอกชนเข้าใจตลาด เข้าใจความเสี่ยง และรู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน

 

อุตสาหกรรมอาหารไทยเองก็เต็มไปด้วยผู้เล่นที่เก่งจริง ทั้งบริษัทใหญ่และ SME อย่างงาน Thaiflex ที่เติบโตจนกลายเป็นงานอาหารระดับ TOP 5 ของโลก แต่ศักยภาพยังไปได้ไกลกว่านี้มาก หากโครงสร้างระบบนิเวศถูกออกแบบให้ถูกต้อง

 

แม้ร้านอาหารไทยทั่วโลกจะมีมากกว่า 20,000 ร้าน แต่สิ่งที่ขาดหนักคือ “เชฟ” และระบบการผลิตบุคลากรที่เป็นแบบแผน นี่คือจุดที่ต้องการ “เจ้าภาพ” ที่มองครบทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ว่าจะทำให้มาตรฐาน องค์ความรู้ และตลาดเติบโตไปพร้อมกันได้อย่างไร

 

นพ.สุรพงษ์ ยกตัวอย่างอาหารอิตาเลียน ซึ่งมีทั้งตลาดพรีเมียมและตลาดแมส และมีโมเดล “Eataly” ที่ผสานซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหาร และค้าส่งไว้ในระบบเดียว อาหารไทยก็ทำได้เช่นนั้นเช่นกัน หากรัฐสนับสนุนเอกชนอย่างจริงจัง

 

พร้อมวาง “Thai Food Standard” เพื่อยกระดับคุณภาพตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงอาหารบนโต๊ะ

 

ไทยก็มีนักวิชาการด้านอาหารจำนวนมาก พร้อมช่วยวิจัยและพัฒนาคุณภาพสินค้า ถ้ารัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนให้ระบบมาตรฐานเข้มแข็งขึ้น ต้นทุนของผู้ประกอบการก็ลดลง เหมือนกับที่รัฐบาลอินเดีย ทำโครงการ “1 อำเภอ 1 โรงงานอาหาร” เพื่อให้ผู้ผลิตรายย่อยมีจุดเริ่มต้นที่มั่นคง

 

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า เราต้องมีเจ้าภาพกลางที่มีหน้าที่เดียวคือ ทำให้อุตสาหกรรมอาหารไทยโตให้ได้ อะไรที่เอกชนยังไม่กล้าลงทุน รัฐต้องกล้าหนุน แต่การหนุนของรัฐต้องอยู่ในบทบาท “ผู้สนับสนุน” ไม่ใช่ “ผู้ลงมือผลิตแทนเอกชน”

 

กรณีของซอฟต์พาวเวอร์ก็คล้ายกัน ในอดีตงานกระจัดกระจายอยู่หลายกรม หลายกระทรวง ทุกคนทำงานของตนเอง ไม่มีใครทำงานร่วมกันเป็นระบบ ตอนเริ่มทำซอฟต์พาวเวอร์ใหม่ๆ สำนักงบฯ ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่ออะไร จนกระทั่งผลลัพธ์เริ่มชัดเจน โดยเฉพาะการพาภาพยนตร์ไทยออกไปสู่เวทีโลก จึงเริ่มเข้าใจว่ามันคือยุทธศาสตร์จริงจัง ไม่ใช่งานตามอำเภอใจ

 

แล้วถ้าถามว่า ถ้าเป็นรัฐบาลจริงๆ จะเริ่มอย่างไร? คำตอบคือไม่ซับซ้อน แต่ต้องกล้าหาญ ถ้าอยากให้เราแข่งขันกับอิตาลีได้ หรือแข่งขันกับประเทศที่กำลังแซงหน้าเราไปได้ เราจำเป็นต้องมี “เจตจำนงทางการเมือง (political will)” ระดับสูงสุดในการผลักดันอุตสาหกรรมอาหารไทย และต้องให้ผู้นำประเทศประกาศยุทธศาสตร์อาหารอย่างจริงจัง ช่วงแรกอาจโดนแรงต้าน แต่ถ้านายกฯ ลงมาขับเคลื่อนเอง ทุกอย่างจะเริ่มขยับอย่างเป็นระบบ

 

เปิดโอกาสใหม่ให้สุราไทยในเวทีโลก

 

ในเทศกาลไทยทั่วโลก อาหารไทยคือแม่เหล็กหลักที่ดึงคนเข้าร่วมงาน นี่สะท้อนว่าความนิยมของอาหารไทยสามารถต่อยอดไปสู่ “สุราไทย” ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเหล้าผลไม้ เครื่องดื่มพรีเมียม หรือผลิตภัณฑ์ new craft ที่เชื่อมโยงกับผลผลิตเกษตรของแต่ละภูมิภาค

แต่โอกาสทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากอุตสาหกรรมอาหารและสุรายังไม่ “เอาจริงเอาจัง” และยังไม่มีองค์กรหรือสมาคมใหญ่ที่ลุกขึ้นมาเป็นตัวกลางประสานงาน

 

อาหาร: ซอฟต์พาวเวอร์ที่เข้าถึงง่ายที่สุด

นพ.สุรพงษ์ ได้ย้ำว่า อาหารคือซอฟต์พาวเวอร์ที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด ทุกคนกินได้ เข้าใจได้ และเชื่อมโยงได้ทันที นี่คืออุตสาหกรรมที่มีพลังทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม

 

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube