ทบ.รับมอบ “จรวดหลายลำกล้องDTI-1G-รถยิงจรวด” ปกป้องชายแดน
ทบ.! รับมอบ “จรวดหลายลำกล้องDTI-1G-ปืนใหญ่ 105 มม.-รถยิงจรวด D11A” เตรียมใช้งานจริง ปกป้องอธิปไตย “ประธาน สทป.”เผยส่งหุ่นยนต์ลาดตระเวนให้ ทภ.2 ใช้งานแล้ว จ่อพัฒนารถเก็บกู้ทุ่นระเบิด-โดรน
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) ส่งมอบยุทโธปกรณ์ให้แก่หน่วยผู้ใช้เพื่อนำเข้าประจำการ โดยมีพล.อ.อานุภาพ ศิริมณฑล หัวหน้าคณะนายทหาร เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา กองทัพบก เป็นผู้แทนรับมอบจำนวน 3 รายการ ประกอบด้วย
1.ต้นแบบรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A
2. ปืนใหญ่เบาขนาด 105 มิลลิเมตร แบบ CS/AH2 มอบให้ ศูนย์การทหารปืนใหญ่ (ศป)
3.จรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ส่งมอบให้กับกองพลทหารปืนใหญ่ (พล.ป.)
ด้านพล.อ.นภนต์ สร้างสมวงษ์ ประธานกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ กล่าวว่า วันนี้เป็นการส่งมอบอาวุธที่สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศร่วมมือกับกองทัพบก ในการวิจัยจำนวน 3 รายการ ซึ่งในส่วนของปืนใหญ่เบาขนาด 105 มิลลิเมตร ได้มีการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศจีน และนำมาประกอบโดยเจ้าหน้าที่ของ สทป.ในประเทศไทยเอง
ส่วนจรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ก็ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศจีนเช่นกัน ซึ่งรถดังกล่าวได้ใช้จริงในสนามรบมาแล้ว ในเหตุการณ์ชายแดนที่ผ่านมา

ขณะที่รถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A ที่สามารถทำการยิงจรวดได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ ขนาด 122 มม. ระยะยิง 40 กิโลเมตร, แบบที่ 2 คือ ขนาด 306 มม. ระยะยิง 150 กิโลเมตร, 3.ขนาด 170 มม. ระยะยิง 300 กิโลเมตร และได้รับการถ่ายทอดจากบริษัท Elbit Systems ซึ่งเป็นบริษัทจากประเทศอิสราเอล สามารถยิงได้ไกลที่สุดมากกว่า 450 กิโลเมตร
นอกจากนี้ ยังสามารถทำการบินแบบอเนกประสงค์ ซึ่งเมื่อปล่อยออกไปแล้วสามารถตรวจการณ์หาเป้าหมาย และสามารถแปรสภาพเป็นจรวดทำลายต่อเป้าหมายได้เลย โดยหากไม่ใช้ก็สามารถบินกลับมาที่เดิมได้ เพื่อใช้ในรอบต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ได้มีการรับรองมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว
โดยรถฐานยิงจรวดหลายลำกล้องอเนกประสงค์ D11A และจรวดหลายลำกล้องนำวิถี แบบ DTI-1G ถือเป็นจรวดนำวิถีทั้งสิ้น
ส่วนความมั่นใจในการรองรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้น พล.อ.นภนต์ ระบุว่า จรวดนำวิถีที่เราวิจัยมามีความแม่นยำ ที่จะใช้ในเรื่องของความมั่นคง ซึ่งรัฐบาลก็เน้นย้ำอยู่แล้วว่า เพื่อเป็นการป้องกัน ป้องปรามการลุกลามของประเทศอื่น ซึ่งไม่มีเจตนาที่จะไปรุกรานประเทศใด ดังนั้นต้องใช้อยู่ในกรอบที่มีความจำเป็น

อย่างไรก็ตามช่วงนี้ต้องประสานงานกับกองทัพบก เพื่อรับทราบว่า มีความต้องการ จะใช้จรวด 2 ประเภทดังกล่าวอย่างไร รวมถึงปืนใหญ่ 105 มม.ด้วย ซึ่งยุทโธปกรณ์ลักษณะดังกล่าวได้มีการใช้ในสถานการณ์จริงมาแล้ว
พล.อ.นภนต์ ยังย้ำว่า มีนโยบายในการผลิตยุทโธปกรณ์ที่กองทัพบกต้องการเท่านั้น ซึ่งต้องยอมรับว่า การพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้ มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งงานวิจัยถือเป็นงานต้นน้ำ ส่วนงานผลิตเป็นงานปลายน้ำ ดังนั้นเมื่อมีการวิจัยแล้วก็ต้องนำเข้าสู่สายการผลิต ซึ่งเป็นนโยบายในอนาคตที่เราจะทำ
เมื่อถามย้ำว่า จะนำอาวุธดังกล่าวไปสนับสนุนการปฎิบัติในสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ได้หรือไม่ พล.อ.นภนต์ ระบุว่า ต้องสอบถามกองทัพบก เพราะจะเป็นหน่วยงานที่จะต้องพิจารณา ซึ่งเรามีหน้าที่ ทำในสิ่งที่กองทัพต้องการ โดยสิ่งที่เราทำ เวลาจะทำอะไร เรามองถึงอนาคต และจะต้องก้าวไปข้างหน้า
หากทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ก่อเกิดประโยชน์ต่อกองทัพ และประเทศชาติ สทป. ก็จะไม่ดำเนินการ ซึ่งเมื่อทำแล้วก็จะต้องปกป้องเอกราช และอธิปไตยของชาติได้ รวมถึงปกป้องกำลังพลของกองทัพ
สาวนการสู้รบครั้งที่ผ่านมา จะนำไปเป็นประเด็นในการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ให้สอดรับกับสถานการณ์หรือไม่ พล.อ.นภนต์ ยอมรับว่า มีแผน ซึ่งได้มีการพบกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมถึงหน่วยใช้ทั้งหมดว่า กองทัพมีความต้องการอะไร เราก็จะทำตามที่กองทัพต้องการ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และประหยัดงบงบประมาณ อีกทั้งพึ่งพาการผลิตในประเทศเป็นหลัก ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเอง

ส่วนนอกจากยุทโธปกรณ์ทั้ง 3 แบบ มีผลงานวิจัยอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ พล.อ.นภนต์ ระบุว่า มีหุ่นยนต์ทางยุทธวิธี ซึ่งได้มีการวิจัยเสร็จสิ้นไปแล้ว ซึ่งได้ส่งมอบให้กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 นำไปใช้ ซึ่งถือว่า มีประโยชน์อย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ่นยนต์ที่ติดปืน และติดอาวุธ แทนกำลังพลที่ออกไปลาดตระเวนข้างหน้า และสามารถบรรทุกของได้
อีกทั้งยังมีกล้อง 360 องศาควบคุมอยู่ที่ฐานปฏิบัติการของรถ สามารถเดินหน้าได้ 3 ถึง 5 กิโลเมตร ซึ่งขณะนี้กำลังสอบถามกองทัพว่า มีความต้องการหรือไม่
ส่วนเก็บกู้ทุ่นระเบิด กำลังพิจารณาว่า จะทำแบบใดให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ซึ่งจะได้ปรึกษากับกรมการทหารช่างครั้งหนึ่ง โดยที่ปรึกษาของ สทป. มีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องการสร้างสะพานเครื่องหนุนมั่นหนุนลอย
ส่วนอาวุธอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนนั้น ก็กำลังวิจัยอยู่ และจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด โดย สทป. มีการวิจัย 3 ระดับคือ
1. ยุทโธปกรณ์ทั่วไปที่มีการใช้ในนายทหารราบ-ม้า-ปืน
2. ยุทโธปกรณ์พิเศษ เช่น แอนตี้โดรน รวมถึงหุ่นยนต์ทางยุทธวิธี
3. ยุทโธปกรณ์เหนือชั้น ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เช่นในเรื่องของ ดาวเทียมบอลลูนเหนือชั้นบรรยากาศ ซึ่งอยู่ในแผนในอนาคต
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





