“โรม” สวนกลับ “ธรรมนัส” จี้ ทบทวนบทบาทรองนายกฯ ปม “เบน สมิท”
“โรม” สวนกลับ “ธรรมนัส” จี้ ทบทวนบทบาทรองนายกฯ ควรปกป้องชาติ ไม่ใช่ขู่ฟ้องคนถาม ปมเชื่อมโยง “เบน สมิท” พร้อมแนะ “อนุทิน” เร่งปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตั้งเป็นนโยบายหลักรัฐบาล ตรวจเส้นทางเงิน-ประสานหน่วยงานให้เข้มงวด
นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ทนายความของนายเบนจามิน สมิท ยื่นฟ้องหมิ่นประมาท โดยยืนยันว่า เป็นบุคคลเดียวกับที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เคยสั่งแบน พร้อมเผยหลักฐานภาพถ่ายในงานของบริษัทเทียนเทียนเวนเจอร์ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจาก กลต. ที่เคยถูกหยิบยกขึ้นในกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ โดยตอนนี้ตนเริ่มเป็นห่วงทั้งนายธนดลและ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เพราะดูเหมือนท่านอาจยังไม่รู้จักคนรอบตัวดีพอ แต่สิ่งที่น่ากังวล คือ การใช้คนในทีมของรองนายกฯ เข้ามาเกี่ยวข้องกับการฟ้องร้อง ซึ่งไม่น่าจะเหมาะสม เพราะรองนายกฯ ควรปกป้องผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ใช่ใช้กลไกรัฐเพื่อปกป้องบางบุคคล
ทั้งนี้ การกระทำในลักษณะนี้ “ไม่ส่งผลดีต่อทั้ง ร.อ.ธรรมนัส และรัฐบาล” โดยตนตั้งคำถามด้วยความหวังดี เพราะอยากเห็นการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ไม่ใช่ “กระวนกระวาย” จนกลายเป็นใช้เครื่องมือรัฐเพื่อประโยชน์ของใครบางคน
นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงข้อมูลการเงินของภรรยานายเบน สมิท ที่ชื่อ “แคทลียา” ว่า มีการถือหุ้นหลายบริษัทในไทยอย่างผิดสังเกต พร้อมเรียกร้องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินโดยละเอียด เพราะบุคคลดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา และเคยพยายามขอสัญชาติไทยแต่ไม่ผ่านการอนุมัติจากกระทรวงมหาดไทย
“ผมทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ แต่ท่านธรรมนัสกำลังทำหน้าที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของใคร ผมไม่ได้มีเรื่องส่วนตัวกับท่าน แต่คิดว่าท่านอาจกำลังไม่เข้าใจบทบาทของตัวเองในฐานะรองนายกรัฐมนตรี”
สำหรับข้อกล่าวหาว่าการอภิปรายของตนสร้างความเสียหาย นายรังสิมันต์ ตอบอย่างมั่นใจว่า ตนมีสิทธิ์ตั้งคำถามกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะสิ่งที่ทำเป็นการตรวจสอบเพื่อประโยชน์ของประชาชน “ท่านธรรมนัสจะเสียหาย ก็เพราะท่านทำตัวแบบนี้ ไม่ใช่เพราะผมถามท่าน”
นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ยังฝากถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ว่า ควรพิจารณาบทบาทของรองนายกฯ ในรัฐบาล เพราะการปล่อยให้มีการขู่ฟ้องสื่อหรือนักการเมือง “ไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์รัฐบาล”
“ผมอยากถามกลับว่า ท่านถามว่าผมรับงานใคร แล้วท่านล่ะ รับงานใครมา? ผมยืนยันอีกครั้งว่านโยบายปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ควรเป็นภารกิจหลักของรัฐบาล ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร”
ขณะเดียวกัน นายรังสิมันต์ ยังกล่าวถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลว่า รู้สึกแปลกใจที่พรรคแกนนำหลักอย่างพรรคภูมิใจไทย และนายอนุทิน กลับเงียบกับปัญหานี้ ทั้งที่ควรเป็นนโยบายหลักของรัฐบาล เพราะการแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ไม่ใช่แค่ป้องกันอาชญากรรม แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้าง “เศรษฐกิจสีขาว” ของประเทศ
นายรังสิมันต์ ระบุว่า ขณะนี้รัฐบาลมี “จิ๊กซอว์ที่หายไป” คือการประสานงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ อัยการ ปปง. กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงการต่างประเทศ และ ก.ล.ต. โดยเฉพาะการติดตาม “เส้นทางการเงิน” ของกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ที่มักโยกเงินผ่านคริปโตเคอร์เรนซี่ไปต่างประเทศ จึงเสนอให้รัฐบาลเร่งแก้กฎกระทรวงปปง. เพื่อให้ติดตามการเคลื่อนไหวทางการเงินแบบเรียลไทม์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอการแก้ไข พ.ร.บ. ปปง. พร้อมยังชี้ว่า ตราบใดที่รัฐบาลยังไม่จัดการ “โครงสร้างใหญ่” ขององค์กรอาชญากรรม และไม่ขุดรากถอนโคนผู้มีอิทธิพลที่เกี่ยวข้อง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็จะยังคงอยู่ต่อไป พร้อมตั้งคำถามแรงว่า เจ้าหน้าที่ได้ “ออกหมายจับ พล.อ.หม่องชิตตู่” ผู้บัญชาการกองกำลังบีจีเอฟในเมียนมาซึ่งถูกทางการสหรัฐฯ คว่ำบาตรแล้วหรือไม่ หากยังไม่ดำเนินการ อาจเข้าข่าย “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
นายรังสิมันต์ กล่าวทิ้งท้ายว่า รัฐบาลควรเร่งทำงานเชิงรุก เพราะคนไทยจำนวนมากยังถูกล่อลวงให้ไปทำงานในพื้นที่ชายแดน เช่น เมียวดี ที่เป็นฐานปฏิบัติการสำคัญของกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ หากยังปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินไปโดยไม่มีมาตรการเด็ดขาด เท่ากับรัฐบาลละเลยต่อความมั่นคงของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





