“แมนฯยูไนเต็ด” กับโจทย์ยากของ “อโมริม” เมื่อเงาอดีตยังไม่จางหาย
เมื่อฤดูกาลใหม่ของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของกุนซือโปรตุเกส รูเบน อโมริม เริ่มต้น แต่ดันส่อแววล้มเหลวเหมือนมีภาพซ้อนทับกับอดีตเหล่ากุนซือ ซึ่งหลายฝ่ายต่างตั้งข้อสงสัยว่า อโมริมจะผ่านศึกหนักนี้ไปได้หรือไม่?
การเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม กลับไม่เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดหวัง เมื่อทีมประสบกับความพ่ายแพ้ถึง 4 จาก 7 นัดในทุกรายการ รวมถึงการตกรอบคาราบาวคัพตั้งแต่รอบสองต่อทีมจากลีกทูอย่างกริมสบี้ ทาวน์ ขณะที่ผลงานในพรีเมียร์ลีกเก็บได้เพียง 7 คะแนน รั้งอันดับ 14 ของตาราง อยู่เหนือโซนตกชั้นแค่ 3 แต้มเท่านั้น
อโมริม ถูกคาดหวังให้เข้ามาปรับโฉม “ปีศาจแดง” ด้วยแนวทางฟุตบอลเชิงระบบ แต่จนถึงตอนนี้ การเล่นของยูไนเต็ดกลับยังไม่แสดงให้เห็นถึงรูปแบบที่ชัดเจน เกมรุกขาดการสร้างสรรค์และการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง ส่วนเกมรับยังมีปัญหาความผิดพลาดรายบุคคลและการยืนตำแหน่งที่ไม่รัดกุม ปัญหาเหล่านี้สะท้อนว่าการเปลี่ยนผ่านยังไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่ควรเป็น
แม้ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ จะยังส่งสัญญาณสนับสนุนให้เวลาอโมริมได้ทำงาน แต่ความกดดันในสโมสรอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่การตัดสินใจของผู้บริหาร ผลงานในสนามและเสียงสะท้อนจากแฟนบอลคือปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม การตกรอบบอลถ้วยเล็กตั้งแต่ต้นซีซั่น และการหล่นไปอยู่ครึ่งล่างของตาราง ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ “โรงละครแห่งความฝัน” จะยอมรับได้ง่าย
หากพิจารณาโปรแกรม 5 นัดถัดไปในพรีเมียร์ลีก จะเห็นได้ว่านี่คือช่วงเวลาที่อาจชี้ชะตาการทำงานของอโมริม
- เปิดบ้าน เจอ ซันเดอร์แลนด์ เกมที่ไม่ควรพลาด หากสะดุดอีกครั้งจะยิ่งเพิ่มแรงกดดันมหาศาล
- ไปเยือน ลิเวอร์พูล ศึกแดงเดือดที่ผลลัพธ์ย่อมมีผลสะเทือนเกินกว่า 3 คะแนน
- เปิดบ้าน เจอ ไบรท์ตันฯ ทีมที่มีระบบชัดเจนและพร้อมท้าทายการยืนระยะของยูไนเต็ด
- ไปเยือน น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ งานที่อาจไม่ง่ายกับทีมที่เล่นดุดันในบ้าน
- ไปเยือน สเปอร์ส บททดสอบสำคัญว่าปีศาจแดงจะรับมือทีมใหญ่ได้ดีเพียงใด
เส้นทางของรูเบน อโมริม ในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดกำลังเดินเข้าสู่โค้งอันตราย การพัฒนาทีมในเชิงแท็กติกยังไม่ก่อรูปอย่างที่คาดหวัง และผลลัพธ์ในสนามคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่สามารถยกระดับผลงานในช่วงโปรแกรมหนักที่กำลังมาถึง สถานะของเขาอาจสั่นคลอนเร็วกว่าที่ทุกฝ่ายคาดคิด
หาก เปรียบเทียบระหว่าง รูเบน อโมริม กับกุนซือก่อนหน้า เพื่อให้เห็นภาพว่าทำไมสถานการณ์ตอนนี้ถึงถูกจับตาอย่างหนัก
นับตั้งแต่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือเมื่อปี 2013 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านกุนซือถาวรมาแล้วหลายคน ทั้ง เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล, โชเซ มูรินโญ่, โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ และล่าสุด เอริก เทน ฮาก แต่ละคนต่างเข้ามาพร้อมความหวังใหม่ ทว่าบทสรุปกลับไม่ต่างกันนัก ความไม่ต่อเนื่อง, ความล้มเหลวในการสร้างทีมระยะยาว และการยุติบทบาทก่อนกำหนด
เมื่อเทียบกับยุค “เอริก เทน ฮาก”
ซีซั่นแรกของเทน ฮาก 2022/23 แมนยูไนเต็ดมีพัฒนาการชัดเจน ทั้งการได้แชมป์คาราบาวคัพ และจบท็อปโฟร์พร้อมตั๋วไปยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก แม้ซีซั่นถัดมาจะเต็มไปด้วยปัญหา แต่ช่วงเริ่มต้นการคุมทีมของเทน ฮาก ยังดูมี “ภาพลักษณ์ความหวัง” มากกว่าอโมริมในเวลานี้ ที่เพิ่ง 7 นัดแรกก็เจอกับความพ่ายแพ้และแรงกดดันจากทุกทิศ
เทียบกับ “โอเล กุนนาร์ โซลชาร์”
โซลชาร์ อาจไม่ได้มีแท็กติกเฉียบคม แต่เขานำพลังบวกและสายสัมพันธ์กับแฟนบอลมาเป็นเกราะป้องกัน หลายครั้งที่ผลงานไม่ดี แต่บรรยากาศในทีมยังดูมีชีวิตชีวา ต่างจากอโมริมที่เริ่มต้นด้วยความคาดหวังเชิงแท็กติกสูง ทว่าผลงานไม่ตอบโจทย์ ทำให้แรงกดดันเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ควร
เมื่อย้อนถึง “มูรินโญ่ และ ฟาน กัล”
ทั้งคู่ต่างมีเกียรติยศการันตี แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาถูกกดดันจนหลุดจากตำแหน่งคือ “ความไม่ต่อเนื่อง” และการสื่อสารกับนักเตะที่ไม่ลงรอย อโมริมเองแม้อายุยังน้อยและถูกมองว่าเป็นกุนซือสายระบบยุคใหม่ แต่หากไม่สามารถสร้างบรรยากาศทีมและผลงานที่ชัดเจนขึ้นได้ เขาอาจเดินตามรอยอดีตโค้ชเหล่านี้อย่างไม่ต่างกัน
การเปรียบเทียบย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมการออกสตาร์ทที่ล้มเหลวในซีซั่นแรกของเขาจึงถูกจับตามากกว่าปกติ

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





