ซัดกันนัว! “ออม” ไม่ไว้ใจทำแบรนด์ด้วย “พริม” ลั่นแยกย้ายกันเติบโต
ซัดกันนัว! “ออม สุชาร์” เสียความรู้สึก ไม่ไว้ใจทำแบรนด์ด้วยขอซื้อหุ้นทั้งหมด “พริม ณัฐชา” ไม่พอใจที่ซื้อหุ้นลับหลัง ลั่นปิดแบรนด์ แยกย้ายกันเติบโต
ยังคงติดตามกันอย่างต่อเนื่องกับเรื่องราวของดาราดังฮุบกิจการที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงสาว “ออม สุชาร์” และหุ้นส่วน “พริม ณัฐชา” ซึ่ง “พริม”ได้ออกมาชี้แจงทางฝั่งของตนในรายการโหนกระแสไปแล้ว งานนี้ “ออม” จึงออกมาชี้แจงบ้างซึ่งสรุปได้ว่า
เรื่องของการแบ่งสัดส่วนหุ้นบริษัท
- ในตอนแรกที่คุยกันก่อนเซ็นต์สัญญาคุยกันไว้ที่ “ศสา” ถือหุ้น 10 เปอร์เซ็นต์ และ “พริม” และ “ออม” ถือหุ้นคนละ 45 เปอร์เซ็นต์ เวลาผ่านไป “พริม” ขอแบ่งสัดส่วนใหม่ในภายหลังโดยลดหุ้นของ “ศสา” เหลือ 4 เปอร์เซ็น ของ “พริม” เพิ่มเป็น 51 เปอร์เซ็นต์ ของ “ออม” คงเหลือ 45 เปอร์เซ็นต์เท่าเดิม
- “ออม” รู้ว่า “พริม” เคยทำแบรนด์ RAD มาก่อน คิดว่าเลิกทำแล้ว เลยตกลงทำ Fleen ด้วยกัน


จุดแตกหักที่ทำให้ “ออม” ไม่ไว้ใจ “พริม”
- เดือนมกราคม ปี 2566 “อัง” น้องสาวของ “ออม” เข้าไปเสิร์ชหาโลโก้ใน Google Drive แต่ไปเจอโลโก้ของแบรนด์อื่นใน Fleen เป็นภาพโลโก้ของ RAD ซึ่งไม่ควรจะอยู่ในนี้
- ทางทนายอ้างว่า Fleen จดทะเบียนเมื่อปี 2566 หลังนั้น “พริม” ไปจด RAD เมื่อปี 2567 “ออม” จึงไปฟ้องฐานค้าแข่ง
- หลังจากนั้นวันที่ 10 มกราคม 2568 “อัง” ไม่ได้พบแค่โลโก้ของออีกแบรนด์ แต่พบใบเสนอราคาที่ส่งมาทางอีเมลของ Fleen เป็นของอีกแบรนด์นึง จึงมีการนัดคุยกับ “พริม” ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาตอบว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน แต่ไม่มีเวลา
- ในคลิปเสียงอัดวันที่ 25 มกราคม 2568 “พริม” พูดว่า “จริง ๆ ตั้งใจจะบอก ก็รออยู่ ซึ่งที่เห็นมันยังเป็นซากอยู่ โลโก้จริง ๆ ก็ไม่ใช่อันนั้น แต่มีไทม์มิ่งจะบอกเหมือนกัน เสียใจเหมือนกัน และเข้าใจที่ “ออม” เสียใจ ที่เห็นมันเกิดขึ้นแล้วก็ต้องยอมรับ”
“ออม” จึงขอซื้อหุ้นจาก “ศสา”
- “อัง” เล่าว่าหลังจากที่ได้ไปค้นทะเบียนของ RAD พบว่าจดทะเบียนเมื่อ 24 กันยายน 2567 ด้วยเหตุนี้ทำให้ “ออม” ไม่เชื่อใจ จึงโทรไปหาเพื่อนดาราที่เคยร่วมทำธุรกิจกับเขาว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้น “ออม” จึงตัดสินใจขอซื้อหุ้นจาก “ศสา” 4 เปอร์เซ็นต์
- ตอนที่ซื้อหุ้นยังไม่ได้บอกอีกฝ่ายจนกระทั่งเขามารู้เอง


“ออม” ยืนยันว่าการซื้อหุ้นจาก “ศสา” นั้นตกลงตามราคาที่คิดเอง เนื่องจากไม่ทราบกำไรของแบรนด์
- ตอนซื้อหุ้น “ออม” บอก “ศสา” ว่าไม่ไว้ใจแล้ว ยันว่าไม่มีคำว่าขาดทุนแน่นอน ตอนแรกตั้งใจจะซื้อราค 1 ล้านบาท แต่เข้าขอ 3 ล้านบาทจากที่ลงทุน 1 แสนบาท เลยตกลงราคากันที่ 2 ล้าน 5 แสนบาท
- ทางด้าน “ออม” มีหลักฐานเป็นแชทว่า “ศสา” รู้ว่ามีเงินปันผล ซึ่งบริษัทไม่ได้ขาดทุน
- มีคลิปเสียงที่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีปกปิดการซื้อขายหุ้นเป็นความลับเป็นคลิปเสียงหลังจากซื้อขายหุ้น “ศสา” คุยกับ “แอมป์” สามีของ “ออม” ว่ามีการฉ้อฉลในการซื้อขายหุ้น จะจบทุกอย่างให้ จ่ายให้เขาได้ไหม
- “ศสา” ชี้แจงว่าคลิปเสียงหลังจากเจอปัญหาเยอะจึงโทรไปปรึกษา “แอมป์” ถูกซื้อหุ้นไปไม่รู้ว่าราคามันควรเป็นเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่าบริษัทมีเท่าไหร่ แต่หลังจากรู้ว่าบริษัทมีกำไรเลยมาปรึกษาว่าอยากได้เอกสารตราสารการโอนหุ้นที่ยังไม่ได้ส่งให้ เพราะทราบว่าเขาให้ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง ถ้าต้องการให้เซ็นต์เอกสารนี้ขอเพิ่มเงินได้ไหม
- ซึ่ง “อัง” ชี้แจงว่าทางฝั่งนี้ก็ไม่รู้เรื่องกำไรของบริษัทเช่นกัน “พริม” เป็นคนบริหารงบการเงิน ส่วนทาง “ออม” จะอยู่ในทางด้านการตลาดมากกว่า เพราะช่วงนั้นยังไม่ได้ปิดงบ ซึ่งของปี 2567 ได้กำไรประมาณ 6 ล้านบาท



เรื่องการที่ตั้ง “ออม” เป็นพรีเซ็นเตอร์มูลค่า 9 ล้าน 5 แสน บาท
- การจัดพรีเซ็นเตอร์ 9 ล้าน 5 แสนบาท เพราะอยากให้รู้มูลค่าของ “ออม” รวม 7 โปรดักต์
- “ศสา” เล่าว่าตอนที่ชวนมาทำแบรนด์คุยตกลงกันไว้ว่าจะไม่มีค่าตัวพรีเซ็นเตอร์ และให้เหตุผลในการขายหุ้นว่ากลัวบริษัทจะไปไม่รอดเลยขาย และยืนยันว่าตอนนั้นที่เรียกเงินเพิ่มเนื่องจากไม่ทราบผลกำไรของบริษัทเลย
- ในส่วนของมูลค่าพรีเซ็นเตอร์ 9.5 ล้านบาท “ออม” ชี้แจงว่าไม่ได้ทำจ่ายตัวเอง ตั้งมาเพื่อให้บริษัทมีต้นทุนแฝงอะไรบ้างก่อนจะได้กำไร ยันว่าไม่ได้รับ ไม่ได้ในส่วนของพรีเซ็นเตอร์
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัท
- หลังจากที่ฝั่งนั้นรู้ว่า “ออม” ซื้อหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์มาก็เกิดความเสียหายเยอะมาก ไฟล์งานหายไปจึงปลด “พริม” ออกจากการเป็นกรรมการ
- เมื่อวันที่ 25 มีนาคม น้องในทีมได้เข้าไป Google Drive เพื่อนำโลโก้มาใช้งาน แต่ไม่พบไฟล์ จึงทราบว่างานหายไป 470 ไฟล์ เช็กว่าถูกลบไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ในส่วนนี้มีคนเข้าถึงไฟล์ได้4 คนคือ อัง พริม และทีมงานอีก 2 คน ซึ่งตอนนี้มีการแจ้งความเรียบร้อย
- เรื่องไฟล์ 470 ไฟล์ที่หายไป “พริม” แจงว่ามีคนเข้าถึงได้ 8-10 คน ไม่ใช่ 4 คน


ความต้องการของทั้งสองฝ่าย
- “อัง” ยันว่าทุกอย่างไม่ได้เกิดเพราะหุ้น 4 เปอร์เซ็นต์ แต่เกิดขึ้นเพราะ “พริม” ทำลับหลัง ส่วนที่ปลด “พริม” ออกจากกรรมการบริษัทเนื่องจากมันเกิดความเสียหายที่ไม่รู้ว่าใครมาลบไฟล์
- เรื่องที่แต่งตั้งกรรมการใหม่ ตอนที่ “พริม” และ “ออม” เป็นกรรมการเพียง 2 คนในบริษัทเงินเดือนอยู่ที่คนละ 1 แสนบาท พอมีกรรมการเข้ามาใหม่ 3 คน เงินเดือนทุกคนจะได้คนละ 5 หมื่นบาท ตอนนี้อยู่ในกระบวณการประเมินเพื่อหาราคาจริง ๆ ของบริษัท
- ตอนนี้ “ออม” อยากซื้อหุ้นเพื่อทำแบรนด์ต่อ แต่ไม่รู้ราคาประเมินจึงติดต่อบริษัทกลางเพื่อมาประเมิน และให้ศาลตัดสิน เดินเรื่องทุกอย่างตามกระบวณการทางกฎหมาย
- ส่วน “พริม” อยากปิดบริษัทและแยกย้าย เพราะรักแบรนด์เหมือนกัน แต่ไม่พอใจที่ “ออม” ไปซื้อหุ้นจาก “ศสา” ลับหลัง
สุดท้ายแล้วเรื่องราวทั้งหมดขึ้นอยู่กับการไกล๋เกลี่ยของทั้งสองฝ่าย ซึ่ง “ออม” ยืนยันว่าให้เป็นไปตามกระบวณการของศาล งานนี้หลายคนตั้งตารอคอยกับบทสรุปว่าจะจบลงอย่างไร ต้องติดตามต่อไป


ขอบคุณรายการโหนกระแส
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





