Home
|
ข่าว

อัยการ ฟันธง! คดีเขากระโดง ใช้เวลาอีกยาวนาน

Featured Image
ฟันธงเกมยาว! “อัยการเอก” ชี้ คดีเขากระโดงกว่า 5,000 ไร่ ใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะจบ สุดท้ายหากเพิกถอน ต้องเยียวยาปชช.ที่ได้เอกสารสิทธิ์มาโดยสุจริต

 

นายเอกณรงค์ เฉิดพันธ์ อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยผ่านเพจ เล่ากฎหมาย (อัยการเอก)ถึงปัญหาข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ว่า ที่ดินเขากระโดงซึ่งมีพื้นที่กว่า 5,000 ไร่ ระหว่างประชาชนผู้ถือเอกสารสิทธิหลายประเภท กับการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ที่อ้างสิทธิ์ในที่ดินตามกฎหมายกฤษฎีกาสมัยรัชกาลที่ 6 โดยปัญหาเริ่มต้นจากประชาชน 35 รายที่ครอบครองที่ดินกว่า 170 ไร่ อ้างสิทธิตามหนังสือ ส.ค.1 ซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิมตั้งแต่ปี 2471 และมาแจ้งการครอบครองในปี 2498 ต่อมาในปี 2553 เมื่อมีการประกาศจะออกโฉนด กลุ่มคนเหล่านี้จึงไปยื่นขอออกโฉนด แต่ถูก รฟท.คัดค้าน โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของ รฟท. ต่อมาในปี 2554 คนกลุ่มนี้ได้ยื่นฟ้อง รฟท.เป็นคดีเพ่งต่อศาลจังหวัดบุรีรัมย์

 

แต่ก็ถูก รฟท.ฟ้องแย้ง สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินให้ รฟท.ชนะคดี โดยให้เหตุผลว่าที่ดินของชาวบ้านกลุ่มนี้อยู่ในแนวเขตของแผนที่ที่กำหนดให้สร้างทางรถไฟ ซึ่งมีพระราชกฤษฎีกาออกเป็นกฎหมายตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 (ปี 2461-2465) ปัจจุบันชาวบ้าน 35 รายที่แพ้คดี ได้ถูกบังคับคดีให้รื้อสิ่งปลูกสร้างและออกจากพื้นที่แล้ว

 

นายเอกณรงค์ กล่าวว่า ต่อมา รฟท.ได้ใช้คำพิพากษาดังกล่าวเป็นหลักฐานในการขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ของประชาชนแปลงอื่น ๆ อีกกว่า 900 แปลง เนื้อที่หลายพันไร่ โดยอ้างว่ากรมที่ดินออกเอกสารทับที่ดินของ รฟท. หลังจาก รฟท.ใช้คำพิพากษาศาลฎีกาเป็นหลักฐานในการขอให้เพิกถอนโฉนดของประชาชนในที่ดินแปลงอื่น กรมที่ดินในขณะนั้นได้ตั้งข้อสังเกตถึงความน่าเชื่อถือของแผนที่ที่ รฟท.ใช้อ้างอิง

 

โดยสงสัยว่าอาจเป็นแผนที่ที่ทำขึ้นใหม่ในปี 2539 เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรสมัชชาคนจน และไม่สอดคล้องกับแผนที่ที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกาที่เป็นแนวเขตที่ถูกต้องตามกฎหมายกฤษฎีกาที่กําหนดแนวสร้างทางรถไฟ ซึ่งออกในสมัยรัชกาลที่ 6 ด้วยเหตุนี้ รฟท.จึงฟ้องกรมที่ดินต่อศาลปกครอง ขอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์พร้อมด้วยค่าเสียหาย ซึ่งศาลปกครองได้มีคำพิพากษาให้กรมที่ดิน ตั้งกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ไม่ได้สั่งให้เพิกถอนโฉนดโดยตรง

 

นายเอกณรงค์ กล่าวอีกว่า หลังจากศาลปกครองตัดสินแล้ว กรมที่ดินได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่มีมติว่าแผนที่ของ รฟท.ยังไม่น่าเชื่อถือ จึงมีคำสั่งยุติเรื่อง จากนั้น รฟท.ได้เดินหน้าต่อ 2 ทางคือ ฟ้องศาลปกครองอีกครั้งเพื่อเพิกถอนคำสั่งยุติของกรมที่ดิน และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาฟ้องประชาชนรายแปลง เพื่อเพิกถอนสิทธิ์ ปัจจุบัน เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีคนใหม่ กระทรวงมหาดไทย

 

ได้นำเรื่องที่ยุติไปแล้วกลับมาตรวจสอบใหม่ และมีมติเสนอให้กรมที่ดินเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดินที่สามารถพิสูจน์ตำแหน่งได้ โดยอ้างอิงจากการรังวัดร่วมกันระหว่างกรมที่ดินและ รฟท.ในอดีต เพราะ รฟท.เห็นว่าเป็นมติที่เป็นประโยชน์ จึงเตรียมถอนเรื่องที่เคยส่งให้อัยการสูงสุดฟ้องประชาชนเป็นรายแปลงออกไป

 

“หากกรมที่ดินเลือกแนวทางนี้ ประชาชนเจ้าของที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้องจะไม่ยอมอย่างแน่นอน ล่าสุดตัวแทนกลุ่มประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องโต้แย้งว่า คำพิพากษาศาลฎีกาพิจารณาเฉพาะกรณี ของ 35 รายเท่านั้น ไม่สามารถใช้ขยายผลไปยังแปลงอื่นได้ และแผนที่ของการรถไฟฯ ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นแผนที่ที่ถูกต้องตามกฎหมายกฤษฎีกาในรัชกาลที่ 6 หรือไม่ และจะนำไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลปกครอง รวมทั้งอาจมีการฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้ยืดเยื้อออกไปกว่าจะจบก็คงอีกหลายปี” นายเอกณรงค์ กล่าว

อัยการ เอกณรงค์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาแม้จะมีหน่วยงานอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกา และ ป.ป.ช.ที่เคยมีความเห็นว่าที่ดิน 5,000 ไร่นี้เป็นของ รฟท. แต่กรมที่ดินก็ยังตั้งข้อสังเกตเรื่องความถูกต้องของแผนที่ ทำให้คดียังคงไม่สิ้นสุด

 

“หากท้ายที่สุดศาลมีคำพิพากษาให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของ รฟท.จริง ก็อาจไม่จำเป็นต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด แต่หากตกลงเรื่องการเช่าใช้ประโยชน์ที่ดินได้ และถ้ามีการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์จริง รัฐอาจจะต้องเยียวยากลุ่มประชาชนที่ได้รับเอกสารสิทธิ์มาโดยสุจริตด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube