ภาษีทรัมป์ VS การเมือง ใครคือตัวแปรชี้ชะตาลงทุนไทย
มีมุมมองที่น่าสนใจสำหรับ “ภาษีทรัมป์” กับ “การเมืองไทย” หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทย ในอัตรา 19% โดยการจัดเก็บภาษีดังกล่าว “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอกว่า จะมีผลตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
โดยผู้ที่ส่งออกสินค้าไปถึงสหรัฐฯก่อนวันที่ 7 สิงหาคมยังคงจ่ายภาษีในอัตราเดิมที่ 10 % และหากส่งออกสินค้าไปถึงสหรัฐฯวันที่ 7 สิงหาคม จะต้องจ่ายภาษีนำเข้าในอัตราใหม่ 19% และหากสวมสิทธิ์จะถูกเก็บในอัตรา 40%
ทั้งนี้ “รศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ” คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้สะท้อนมุมมอง ในประเด็นดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ ว่า อัตราภาษี 19% ที่สินค้าส่งออกไทยถูกจัดเก็บเป็นอัตราใกล้เคียง กับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคอาเซียน ทำให้สินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯยังคงแข่งขันได้ดี และต้องแสวงโอกาสในการเข้าไปทดแทนสินค้าส่งออกจากประเทศลาว เมียนมาและอินเดีย ที่ถูกจัดเก็บในอัตราภาษีที่สูงกว่าไทยมาก
อย่างไรก็ตาม การเร่งนำเข้าสินค้าส่งออกจากไทยในช่วง 5-6 เดือนของปีนี้และอัตราภาษีที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ตัวเลขส่งออกในช่วงที่เหลือของปีชะลอตัวลงแต่ไม่ติดลบ โดยคาดการณ์ว่าทั้งปีอัตราการขยายตัว ของส่งออกไทยจะอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 5% ไทยควรทำข้อตกลงการค้าเสรีเพิ่มเติมกับประเทศต่าง ๆ ที่เป็นประตูสู่การค้าของภูมิภาคต่างๆทั่วโลก และ ใช้ประโยชน์จากการทำข้อตกลงเอฟทีเอ กับเปรูในการเจาะตลาดละตินอเมริกามากขึ้น รวมทั้งเร่งรัดเจรจาเอฟทีเอกับอียู และ แคนาดาเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับตลาดส่งออกไทย
“รศ. ดร. อนุสรณ์” มองว่า การเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าในอัตราใกล้เคียงกันทำให้ภาษีไม่ใช่ตัวแปรสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการเคลื่อนย้ายการลงทุนของบรรษัทข้ามชาติ ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ ความมีเสถียรภาพทางการเมืองและนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่คงเส้นคงวา เป็นปัจจัยสำคัญ ในการกำหนดทิศทางการลงทุนของต่างชาติ ส่วน อัตราภาษีสวมสิทธิที่ 40% กระทบสินค้าส่งออกจีนหนัก
ส่วนการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ มีอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯมายังไทย 0% จำนวนหมื่นรายการนั้น มีผลกระทบจำกัด เพราะส่วนหนึ่งเป็นสินค้าที่ไทยไม่ผลิตหรือผลิตไม่พอ ส่วนที่จะกระทบ จะเป็นสินค้า ที่เราผลิตแล้วแข่งขันไม่ได้ ซึ่งก็ต้องมีมาตรการในการยกระดับขีดความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้นพร้อมลดต้นทุนการผลิต
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุว่า ในแง่มุมภาพรวมเศรษฐกิจ จำเป็นต้องติดตามผลกระทบต่อเนื่องจากอัตราภาษีศุลกากรที่ประเทศต่าง ๆ เคยจ่ายให้กับสหรัฐฯ ก่อนหน้านี้เฉลี่ย ราว 5.1% แต่ล่าสุดของไทยถูกขยับขึ้นเป็น 19%
ซึ่งจะเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ส่งออกไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บวกกับการย้ายฐาน การผลิตของบริษัทต่างชาติ มีโอกาสลุกลามถึงการจ้างงานในที่สุด ทำให้ความเสี่ยง เกิด TECHNICAL RECESSION หรือ GDP ติดลบ 1 ไตรมาสต่อกัน โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรก 2569 ยังทิ้งไม่ได้ในบ้านเรา
จากนี้ต่อไปจะต้องจับตาผลของ “ภาษีทรัมป์” อย่างใกล้ชิด เพราะนี่คืออีกหนึ่งปัจจัยที่ท้าทายเศรษฐกิจไทยนั่นเอง
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews