“เรืองไกร”ยื่นกกต.สอบ”แพทองธาร”ไม่ซื่อสัตย์ ดีลลับ”ฮุนเซน”
“เรืองไกร” มาตามนัด ยื่นกกต.สอบ “แพทองธาร” ไม่ซื่อสัตย์ ดีลลับ “ฮุนเซน” อ้างเทคนิคเจรจาฟังไม่ขึ้น ชี้ 2 ทางเลือก “ลาออก–ยุบสภา” ไม่เอารัฐประหาร
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางมาที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อยื่นหนังสือขอให้ กกต.ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่ และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่ กรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จ ฮุนเซน ตั้งแต่วันที่ 15 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนมายื่นหนังสือวันนี้ เพราะเห็นว่าเป็นกรณีเร่งด่วน เนื่องจากตรวจสอบแล้วว่าคลิปเสียง และนายกฯ ได้ยอมรับเอง ว่าเป็นคลิปเสียงการพูดคุยกับสมเด็จฮุนเซนจริง ถือเป็นหลักฐานสำคัญ ที่ทำให้ตนต้องมายื่นร้องต่อกกต.ว่าพฤติกรรมดังกล่าว ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ระบุว่า เหตุความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัว เนื่องจากความไม่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนววินิจฉัยไว้ เหมือนกรณีคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งสามารถยึดเป็นแนวบรรทัดฐานได้
“ในคลิปเสียงท่านนายกฯ ก็ยอมรับแล้ว มีการพูดถึงเจ้าหน้าที่ของเรา มีการเอ่ยชื่อ ตำแหน่งด้วย ในลักษณะว่าไม่ใช่พวกเรา ทำให้สังคมตั้งคำถามตรงนี้ ว่าตกลงท่านนายกฯ ของเราเป็นพวกกับใคร เป็นพวกทหารของเรา หรือพวกกับเพื่อนบ้าน แล้วคำขอให้เปิดชายแดน เปิดด่านกันเลยนั้น ก็คงต้องรอฟังจากฝ่ายความมั่นคง นายกฯ คงไม่มีหน้าที่จะไปดู ไปรับปากตรงนั้น ซึ่งคำต่างๆ ที่สื่อถอดออกมาก็เป็นตัวอย่างที่นำมาให้กกต.ดูว่า ในนี้กรณีนี้จะเข้าข่ายว่านายกฯ ไปทำการที่ไม่ซื่อสัตย์ สุจริต ทำให้เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่งและเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามมาตรฐานจริยธรรมหรือไม่” นายเรืองไกร กล่าว
นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ตามประมวลกฎหมายอาญาเรื่องความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร กับความมั่นคงที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร เช่น มาตรา 116 และมาตรา 119 ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ และอำนาจของกกต. ซึ่งอาจจะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน หรือหากมีพรรคการเมือง หรือสมาชิกวุฒิสภา เข้าชื่อยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือกลุ่มบุคคลที่จะยื่น
เมื่อถามว่า ปัจจุบันมีการเรียกร้องให้ยุบสภา หรือลาออก คิดว่านายกฯ ควรเลือกทางไหน นายเรืองไกร กล่าวว่า ตนพูดหลายครั้งแล้วว่า การที่ท่านขึ้นมานั้น คะแนนหลายๆ เรื่องไม่ผ่าน อภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ผ่านมาท่านได้เพราะเสียงเกินก็อยู่ได้ แต่สิ่งที่สังคม ประชาชนรับรู้ คือความรู้ความสามารถของนายกฯ เองนั้น ท่านควรจะพิจารณาตัวเอง ประชาชนเรียกร้อง ความรับผิดชอบจากตัวนายกฯ อย่างภูมิใจไทย ก็แสดงจุดยืนและลาออกไปแล้ว ส่วนพรรคพลังประชารัฐ ก็มีจุดยืนของหัวหน้าพรรคไปแล้ว
ดังนั้นนายกฯ มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง ไม่ยุบสภาก็ลาออกแล้วให้คนใหม่ที่เหมาะสมกว่ามาทำหน้าที่ เพราะเรายังมีบัญชีนายกฯ อยู่ เพื่อไทยยังมีนายชัยเกษม นิติสิริ อยู่ในบุญชี ขณะที่ อายุสภาก็ยังเหลืออยู่ แต่ถ้าท่านมั่นใจว่าจะให้ประชาชนตัดสินท่านก็ต้องยุบ ถ้าคิดว่าไปไม่ไหว แล้วสภายังไม่มีความเห็นอะไรท่านก็ลาออก
เมื่อถามต่อว่า ขณะนี้กระแสสังคมมีการพูดถึงการปฏิวัติ นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นในครรลองประชาธิปไตย แต่ถ้าความรู้สึก การประเมินตัวเองของนายกฯ และมีเสียงสะท้อนแบบนี้ ท่านก็ควรจะรับรู้ว่า ควรจะพิจารณาตัวเอง ดีที่สุด
เมื่อถามว่า นายกฯ ระบุว่า การพูดคุยเพื่อให้เกิดผลดีต่อประเทศไม่ให้เกิดการสู้รบ และเป็นเทคนิคการเจรจา นายเรืองไกร กล่าวว่า ฟังไม่ขึ้น การโทรคุยกันลับๆ ในตำแหน่งนายกฯ กับนายฮุนเซน และมีข่าวรั่วออกมา ยืนยันว่าการคุยแบบทวิภาคีต้องเปิดเผย ฝ่ายความั่นคงต้องทราบ แต่ท่านไปตกลง และพูดจาเอาใจเขา แล้วบอกว่าแม่ทัพนายกองของเราเป็นฝ่ายตรงข้าม คำว่าพวกเราคือใคร ท่านนายกฯ กับฝ่ายกัมพูชาเป็นพวกเดียว แล้วฝ่ายคนไทยไม่ใช่พวกท่าน มันทำให้คนไทยรู้สึก บางครั้งการพูดต้องคิด ทักษะการพูดหากคนที่เรียนการทูตมาจะเข้าใจมากกว่า ที่ว่าพูดให้ใจเย็นนั้น เป็นแค่การพูดแก้ทีหลัง แต่ขั้นตอนที่ไปคุยกัน กับเสียงที่ออกมาไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้น
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





