Home
|
ภูมิภาค

“บริหารประเทศอย่างไร ให้ประชาชนเรียกร้องรัฐประหาร”

Featured Image
นักวิชาการ ถามแรง “บริหารประเทศอย่างไร ประชาชนเรียกร้องรัฐประหาร” เตือนศึกชิงเก้าอี้มหาดไทย คือเกมอำนาจ ไม่ใช่เพื่อประชาชน เสี่ยงพังทั้งศรัทธา เสถียรภาพรัฐบาล

 

จากกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เชิญนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าพบเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือประเด็นสำคัญที่อาจสั่นสะเทือนโครงสร้างรัฐบาลผสม

 

ตามรายงานจากสื่อหลายแห่งระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้เสนอให้พรรคเพื่อไทย เข้ามาบริหารกระทรวงมหาดไทย โดยเสนอแลกเปลี่ยนกับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์ให้พรรคภูมิใจไทย อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่านายอนุทินปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว

และยืนยันจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยที่จะรักษาตำแหน่งกระทรวงมหาดไทยไว้ พร้อมระบุว่าไม่มีการหารือเรื่องการปรับ ครม. ในขณะที่กระแสข่าวยังชี้ถึงการกำหนดเส้นตายภายใน 48 ชั่วโมงเพื่อตัดสินใจในเรื่องนี้ สร้างความตึงเครียดในพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่ประชาชนและนักวิเคราะห์การเมืองจับตาดูว่า การเจรจานี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรัฐบาลหรือไม่

 

ล่าสุด วันนี้ (18 มิถุนายน 2568) ที่จังหวัดนครราชสีมา รศ.ดร.อดิศร เนาว์นนท์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ในฐานะนักวิชาการด้านการเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าวว่า ตนเองมองว่า เหตุการณ์ความพยายามปรับเปลี่ยนโควตากระทรวง โดยเฉพาะการแย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เป็นสิ่งที่สะท้อนชัดว่าการเมืองไทยยังคงติดหล่ม ในเรื่องผลประโยชน์ทางอำนาจ มากกว่าผลประโยชน์ของประชาชน

 

กระทรวงมหาดไทยถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่ควบคุมกลไกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค มีบทบาทโดยตรงต่อท้องถิ่น ฐานเสียง และการเลือกตั้งการที่พรรคใดจะได้ดูแลกระทรวงนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องที่อาจตัดสินทิศทางทางการเมืองในระยะยาว

 

ตนเองเชื่อว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบริหารประเทศแต่อย่างใด หากแต่มุ่งเน้นไปที่การสร้างความได้เปรียบในทางการเมือง และเตรียมพร้อมสำหรับศึกเลือกตั้ง ที่จะมาถึงในอนาคต

 

ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่าการที่พรรคการเมืองยื่นข้อเสนอแลกกระทรวงในลักษณะนี้ อาจสร้างความรู้สึกต่อประชาชนว่า นักการเมืองให้ความสำคัญกับ “เก้าอี้” มากกว่าปากท้องประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิเสธข้อเสนอและท่าทีแข็งกร้าวของพรรคภูมิใจไทย ก็อาจนำไปสู่การเผชิญหน้า และเกิดรอยร้าวในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งอาจบานปลายจนกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

 

ตนเองขอย้ำว่า สิ่งที่น่ากังวลที่สุดในสถานการณ์นี้ ไม่ใช่เพียงแค่การแบ่งเก้าอี้ แต่คือการที่ประชาชนเริ่มหมดศรัทธาในระบบการเมืองและผู้นำของประเทศ ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประชาชนให้โอกาส นักการเมืองเข้าไปทำหน้าที่ในสภา เพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศ แต่เมื่อพฤติกรรมที่ปรากฏออกมากลับเป็นการต่อรอง ตกลง แลกเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ของพรรคหรือกลุ่มบุคคล ตนเองเห็นว่าเรื่องนี้จะยิ่งกระตุ้นความรู้สึกไม่พอใจในสังคม และอาจนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกในประเทศนี้

 

พร้อมตั้งคำถามตรงๆ ว่า “บริหารประเทศกันอย่างไร ถึงทำให้ประชาชนเรียกร้องรัฐประหาร” ซึ่งสะท้อนความสิ้นหวังในหมู่ประชาชน และถือเป็นคำเตือนทางการเมืองที่ไม่อาจมองข้าม

 

ตนเองในฐานะนักวิชาการขอเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง และโดยเฉพาะผู้นำรัฐบาล ต้องแสดงความรับผิดชอบและมีจิตสำนึกในการบริหารประเทศ ไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาอำนาจหรือสร้างความได้เปรียบ ทางการเมือง แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง หากปล่อยให้การแย่งชิงอำนาจดำเนินไปเช่นนี้โดยไม่มีจุดยุติ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการปรับ ครม. การลาออกของรัฐมนตรี หรือแม้แต่การยุบสภา ซึ่งล้วนแล้วแต่สร้างความไม่มั่นคงและทำให้ประเทศเสียโอกาสในการเดินหน้าต่อไป

 

ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลผสมปัจจุบันยังสามารถหาทางออกร่วมกันได้ หากผู้นำของแต่ละพรรคมีวุฒิภาวะทางการเมืองมากพอที่จะประนีประนอม และไม่ยึดติดกับตำแหน่งอย่างเหนียวแน่น เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ ไม่ใช่ใครจะได้กระทรวงไหน แต่คือ “ความเชื่อมั่น”ของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล และ “เสถียรภาพ” ของประเทศที่ต้องรักษาไว้ให้ได้ในช่วงเวลาที่ทั่วโลกเผชิญความเปลี่ยนแปลง ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และภูมิรัฐศาสตร์.

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube