นายกฯ โกรธแล้ว ซัดเขมรยั่วยุ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ใครข่มขู่
นายกฯ โกรธแล้ว จวก กัมพูชา เล่นสงครามข่าวสาร นอกเกม โพสต์ยั่วยุ ทำวุ่นวาย ไม่ส่งผลดีต่อ2ประเทศ จี้เคารพกฎกติกา แจงปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน คำนึงถึงประชาชน ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ ย้ำหากต้องปะทะ กองทัพพร้อม
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม
ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งใช้เวลาการหารือนานกว่า 2 ชั่วโมง
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา (JBC) เมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย.ที่ผ่านมา ถือเป็นผลสำเร็จที่ยอมรับกรอบ JBC ส่วนรายละเอียดทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้ชี้แจงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทางการไทยได้มีการหารือกันในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหน้างานจนถึงระดับรัฐมนตรี โดยมีการสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมได้เห็นชอบตั้งคณะทำงานหรือทีมไทยแลนด์ โดยมีพลเอกณัฐพล เป็นหัวหน้าทีมคอยมอนิเตอร์ข้อมูลข่าวสาร
ส่วนกรณีที่กัมพูชายื่นศาลระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับขอบเขตศาลโลก แต่ได้มีการตั้งทีมทำงานเพื่อหาแนวทางปกป้องประเทศ หรือตอบโต้ได้อย่างไรบ้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษากฎหมาย และประวัติความเป็นมา
ขณะนี้มีข้อมูลไว้ทั้งหมดแล้ว
ส่วนกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาระบุว่าหากไทยไม่ยกเลิกมาตรการการเปิด-ปิดด่าน? ภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ กัมพูชา จะปิดด่านชายแดนทั้งหมด ว่าเรื่องการเปิดปิดด่านจริงๆ แล้วเราไม่ได้ปิด เพียงแต่กำหนดเวลา การเปิด-ปิด
ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม เมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น ซึ่งทางประเทศไทยได้ทราบจากเพจกลาโหมของทางกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้มีการตกลงกันแล้วว่าจะมีการปรับกำลัง และได้มีการมอบอำนาจให้ในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่กองทัพเพื่อประเมินสถานการณ์หน้างาน แต่ทางกลาโหมกัมพูชา ยืนยันว่า จะไม่มีการปรับกำลังออกจากพื้นที่ ทางไทยจึงมีการกำหนดเวลาเปิดปิดด่าน ทำให้กัมพูชามีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านเช่นกัน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ที่ผ่านมาไทยและกัมพูชามีการพูดคุยกันมาตลอด ตนก็ได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีความเห็นและตกลงร่วมกันว่า อยากเห็นสันติภาพให้เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง ต้องการรักษาชีวิต ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศและไม่อยากให้มีการเสียเลือดเนื้อของทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศเห็นตรงกัน และหลังจากนั้นก็มีการพูดคุยมาตลอดและตนก็พยายามให้อยู่ในกรอบทวิภาคี ซึ่งเป็นกรอบการพูดคุยระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศ เมื่อมีการสื่อสารต้องมีกรอบความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้เป็นไปตามกลไกระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวได้ว่า นอกจากการพูดคุยเป็นทางการแล้วยังมีการพูดคุยหลังไมค์อย่างไม่เป็นทางการ แต่สิ่งที่สื่อสารออกมาทางโซเชียลนอกกรอบ และเป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นมืออาชีพออกมาอยู่เรื่อยๆ ทำให้เกิดความวุ่นวาย ตนคิดว่า การสื่อสารในลักษณะนี้ทำให้เป็นผลลบทั้ง 2 ประเทศ? และสิ่งที่ทางกัมพูชาได้โพสต์ เราต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา
นายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่า วันนี้ได้ส่งข้อความไปยังนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยเสนอให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) หรือ RBC หรือการประชุมในระดับกองทัพของทั้งสองประเทศ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ แต่ก็ยังเห็นว่าทางกัมพูชายังมีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กซึ่งเป็นการสื่อสารที่ไม่อยู่ในกรอบ
เมื่อถามต่อว่าไทยพยายามที่จะยึดตามกรอบ JBC แต่ดูเหมือนว่าทางกัมพูชาจะไม่มีความจริงใจในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม JBC เป็นการประชุมร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศถือเป็นความสำเร็จในการพูดคุย หมายความว่าเรายอมตกลงกันตามกรอบนี้? เพื่อที่จะบอกว่าเราต้องการสันติภาพ และจะร่วมกันทำอย่างไรได้บ้าง แต่ส่วนตัวมองว่า กรอบ JBC ไม่มีปัญหาเป็นไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจง ไม่ได้ติดขัดหรือมีพลิกล็อคอะไรในกรอบ JBC
เมื่อถามว่าดูเหมือนว่ากัมพูชาจะเร่งสงครามข่าวสารผ่านโซเชียล นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า เรื่องนี้ไม่เกิดผลดีของทั้งสองประเทศ เพราะการปล่อยข่าว หลายครั้งที่ออกมา ก็มีการตกลงกันแล้วว่า อย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะต้องมีการพูดคุยกันก่อน เพราะคนหน้างานกับคนที่รับข่าวเป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นจะทำอะไรหรือสัมภาษณ์อะไรออกไปต้องเห็นใจคนหน้างาน การที่หลายคนยุยงให้มีการต่อสู้ ขอให้ดูคนหน้างานด้วยว่าเป็นอย่างไรและกำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในฐานะผู้บริหาร ก็ต้องคอยติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด ว่าเกิดอะไรขึ้นณขณะนั้น และการที่ไทยกำหนดมาตรการปิดเปิดด่านในตอนแรก เป็นเพราะมีอาวุธไกล และอาวุธหนัก ออกมามากขึ้นจากฝั่งกัมพูชา เราจึงต้องมีการกำหนดเวลาเปิดปิดด่าน เพราะมีประชาชนของทั้ง 2 ประเทศอยู่ในพื้นที่ชายแดนจำนวนมาก การที่เอาอาวุธหนักออกมาเช่นนั้น หากไม่มีการกำหนดมาตรการเปิดปิด แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะเกิดความเสียหายมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะหากไม่เกิดอะไรขึ้นเราก็จะไม่มีกำหนดมาตรการออกมา
ส่วนจะสามารถชี้แจงให้นานาประเทศเข้าใจได้อย่างไรว่าเราไม่ได้โกงเอาแผ่นดินของเขามา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้ถูกชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรในการประชุม? JBC รวมไปถึงการที่ตนได้เสนอ ขอให้มีการประชุมในระดับ RBC ด้วย สิ่งที่เราประชุมทั้งหมดจะถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทั่วโลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราตกลงอะไรกันบ้าง
ขณะเดียวกัน ในวันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เรียกประชุมทูตทุกประเทศที่อยู่ในไทย ทั้งหมดเพื่อให้ทุกประเทศได้รับทราบ ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พูดคุยกับทูต ประเทศกัมพูชา มาตั้งแต่ วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว ว่าเราต้องการอะไรและจะทำอย่างไร
แต่ยอมรับว่าสิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขา นั่นคือการสื่อสารต่อสาธารณะ เพราะเราเคารพ ในการเจรจาระหว่างประเทศ เคารพกรอบการเจรจาทวิภาคี นั่นคือสิ่งที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสาร ต้องยึดกรอบทวิภาคีเป็นสำคัญ แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้น เราก็ต้องบอกจุดยืนของเราเช่นกัน ว่าเราไม่เคยที่จะ ยั่วยุหรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
อย่างที่ตนบอกว่า คนเสพข่าวเรื่องหนึ่งคนที่อยู่ หน้างานก็อีกเรื่องหนึ่ง ดิฉัน เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงตรงชายแดน นั่นแปลว่าดิฉันต้องรับรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าดิฉันจะต้องตกลงในการปะทะ มันต้องมีการคุยกับทหารด้วย ว่าพร้อมหรือไม่ เราอยู่ในสถานะไหน เขาอยู่ในสถานะไหน แต่แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือปล่อยประโยค อะไรออกมา ที่ไม่เป็นทางการ ส่งผลกระทบ ตนย้ำว่าไม่เกิดผลดีกับทั้งสองประเทศ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงดังกล่าวการตอบคำถามของนายกรัฐมนตรี มีน้ำเสียงที่เข้มและท่าทีที่ขึงขัง เมื่อถามว่ารัฐบาลไทยจะทำอย่างไรกับสงครามข่าวสารของกัมพูชา นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า ชี้แจงค่ะ คนไทยนายกรัฐมนตรี กองทัพ ที่ประชุมวันนี้เห็นตรงกันในทุกๆ ส่วน
กองทัพเองก็คิดเหมือนเราว่าจะต้องปกป้องอธิปไตยไว้ แต่จะทำอย่างไรให้ยืดการปะทะ การเสียเลือดเนื้อ ให้ไม่เกิดขึ้น แต่ยังคงรักษาอธิปไตยของเราไว้ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพเห็นตรง ส่วนใครจะปล่อยข่าวว่าตีกัน ยืนยันว่า ไม่เคยตีกัน ตอนนี้กองทัพกับรัฐบาลได้คุยกันทุกเรื่อง เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ประเทศเราทำ ตนขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลกับกองทัพ ไม่มีปัญหากัน และขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนรัฐบาลและกองทัพ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ เราพูดในข้อความที่ตรงกัน และในข้อความที่รู้ได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น
“จะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง มาใส่ร้าย มาข่มขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นจุดนี้จะทำให้เราทุกคนรู้ว่า วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกาก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก”
อย่างไรก็ตาม วันนี้พบว่า นายกรัฐมนตรี มีท่าทางที่เคร่งครึ้ม จริงจัง โดยเฉพาะเรื่องการตอบคำถามเกี่ยวกับประเด็นการโพสต์ข้อความต่างๆ ผ่านโซเชียลของสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภา และฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ทั้งที่ได้มีการพูดคุยกันแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายกรัฐมนตรี รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก โดยได้แสดงออกทางสีหน้า และน้ำเสียงอย่างชัดเจน โดยภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้นนายกรัฐมนตรี ได้เรียกทีมงานเดินออกจากวงสัมภาษณ์ทันที
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





