จับตาผลประชุม JBC 14 มิ.ย. ถกระงับข้อพิพาทชายแดนไทย-เขมร
จับตาสถานการณ์ชายแดงไทย-กัมพูชา ที่ช่องบก อุบลราชธานี ที่กำลังร้อนระอุเป็นประเด็นที่ปลุกกระแสรักชาติของคนไทย และภาคประชาสังคมเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงท่าที่แข้งกร้าวและไม่ยอม รัฐบาลกัมพูชาที่พยายาม เข้ามารุกรานเพื่อครอบครองพื้นที่แนวชายแดน โดยจับตาผลประชุม JBC ที่จัดขึ้นในกัมพูชา 14 มิ.ย.นี้ ว่า จะมีข้อตกลง เพื่อลดสถานการณ์ความร้อนระอุตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ได้หรือไม่
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 หลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย ขณะที่ฝ่ายไทยไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องเส้นเขตแดนที่ยังไม่มีการแบ่งเขตอย่างชัดเจน โดยเฉพาะบริเวณ “คูเลต” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิ์ การขุดคูและการตั้งฐานที่มั่นของทหารกัมพูชา ในพื้นที่ที่ไทยถือว่าอยู่ในเขตของตนเอง เป็นชนวนให้เกิดความตึงเครียดและการปะทะขึ้น
สำหรับจุดที่มีการปะทะกันของทหารทั้ง 2 ฝ่ายคือ ‘ช่องบก’ ชายแดนไทย-กัมพูชา จ.อุบลราชธานี ซึ่งถูกเรียกว่า “สามเหลี่ยมมรกต” โดยบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างประเทศไทย ลาว และกัมพูชา โดยมีขนาดประมาณ 12 ตารางกิโลเมตร โดยพื้นที่ดังกล่าวคาบเกี่ยวกับประเทศไทยในสองจังหวัด ได้แก่ จ.อุบลราชธานี และ จ.ศรีสะเกษ ปัจจุบันช่องบก ยังคงเป็นพื้นที่พิพาท เนื่องจากยังไม่มีการปักปันเขตแดนที่ชัดเจน และยังมีการเคลื่อนไหวทางทหารของทั้งสองประเทศในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันอธิปไตย
ทั้งนี้ ประเทศไทยและกัมพูชามีชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 798 กิโลเมตร ซึ่งมีอาณาบริเวณที่ทาบเกี่ยวกัน แบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ พื้นที่ทับซ้อนทางบก เช่น พื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ช่องตาพระยา บึงตระกวน พื้นที่เขาตาง้อก จ.สระแก้ว และพื้นที่เขาตะบาน จ.จันทบุรี / และพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล เช่น พื้นที่บริเวณเกาะกูดตอนล่าง และพื้นที่บริเวณอ่าวไทยตอนกลางและตอนล่าง
สำหรับ ไทยและกัมพูชามีความพยายามในการใช้กลไกต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาข้อพิพาทบริเวณพื้นที่ทับซ้อนมาตั้งแต่ในอดีต เช่น การใช้สนธิสัญญา ฟรังโก-สยาม, การจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา เมื่อปี พ.ศ. 2543 ทั้งนี้ ไทยและกัมพูชาเคยทำการสำรวจและปักปันเขตแดนร่วมกันครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2452
รวมทั้งการลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจไทย-กัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในไหล่ทวีป 2.64 หมื่นตารางกิโลเมตร หรือที่เรียกว่า MOU 44 เพื่อเป็นการกำหนดกรอบเจรจา มเรื่องการปักปันดินแดนทางทะเลในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนและเรื่องการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียมในลักษณะพื้นที่พัฒนาร่วมด้วย
หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ของทหารไทย และ ทหารกัมพูชา ที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี ได้จุดกระแสรักชาติจากภาคประชาชน ที่เรียกร้องให้รัฐบาลแสดงท่าที ที่แข็งกร้าวต่อการรุกรานของกัมพูชา ที่จะเคลมพื้นที่ต่าง ๆตามแนวชายแดนไปเป็นของเขมร ท่าทีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า ไม่ยอมเสียดินแดนให้กับเพื่อนบ้าน และแม้ไทยจะรักสงบ แต่ก็รบไม่ขลาด หวังส่งสัญญาณว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้ไม่แสดงท่าที “ดุดัน” แต่มีแผนและยุทธศาสตร์รับมือ แต่ปฏิเสธ ใช้มาตรการปิดด่านชายแดน ตามข้อเสนอของฝ่ายทหาร ที่หวังกดดันตอบโต้ทหารกัมพูชา ที่รุกล้ำพื้นที่ฝั่งไทยเข้ามา 200 เมตร
ขณะเดียวกัน ท่าทีที่แข็งกร้าวของ “ฮุนมาเนต” นายกรัฐมนตรีกัมพูชา และ “ฮุน เซน” ประธานพฤตสภากัมพูชา ที่ประกาศไม่ถอยกำลังจุดปะทะ อีกทั้งยังเคลมปราสาท ตามสถานที่ต่างๆ โดยกัมพูชาออกแถลงการณ์ ว่า ภายหลังเกิดเหตุรุนแรงในวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 นาย รัฐบาลกัมพูชา ได้ยื่นประท้วงอย่างเป็นทางการแล้ว และต่อมาในวันที่ 2 มิถุนายน รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดสินใจ ที่จะส่งเรื่องข้อพิพาทเหนือพื้นที่เปราะบาง 4 แห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย กับพื้นที่มุมไบ ไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ซึ่งการตัดสินใจนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นเอกฉันท์จากรัฐสภาและวุฒิสภาในการประชุมร่วมกัน
เหตุการณ์ ดังกล่าวทำให้ภาคประชาชน อย่างเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. ออกมาเคลื่อนไหว เรียกร้องให้ นายภูมิธรรม ต้องเคารพและมอบสิทธิ์ให้กับกองทัพที่นำโดย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ดำเนินการในการตัดสินใจทางการทหาร ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ รวมทั้ง กระทรวงกลาโหมต้องทำหนังสือประท้วง การปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชาที่รุกเข้ามาในเขตแดนไทย ไปยังประเทศกัมพูชาอย่างเป็นทางการ และให้กองทัพพร้อมปฏิบัติการทางทหารโดยกระทรวงกลาโหมคอยสนับสนุน
และในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศไทยต้องยืนหยัดในสิทธิ์ในอาณาเขตของประเทศอย่างชัดเจน ไม่ใช่การขอถอยกำลังทหารเหมือนที่ผ่านมา เพื่อเป็นการปฏิบัติการทางการทูตเชิงรุก ที่ฝ่ายความมั่นคงของไทยต้องดำเนินการอย่างเข้มแข็ง
ขณะที่ นายนิกรเดช พลางกูล อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ว่า ในการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC ที่ฝ่ายกัมพูชาได้กำหนดจะจัดการประชุมนี้ขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 ที่กัมพูชา โดยการหารือ ในที่ประชุม ได้พูดคุยถึงการประชุม JBC ของฝ่ายไทยที่สรุปประเด็นได้ เราจะใช้ประโยชน์ จากกลไก JBC อย่างเต็ม โดยยืนยันว่ารัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ และจะหารืออย่างใกล้ชิด กับฝ่ายกัมพูชาในทุกระดับ เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ที่ดี ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านในฐานะครอบครัวสมาชิกอาเซียนด้วยกัน ซึ่งไทยพร้อมเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ระหว่างกันเราไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลโลก ดังนั้น ยังไปไม่ถึงจุดนั้น”
นายนิกรเดช ย้ำว่า เรากำลังเจรจาด้วยท่าทีที่หวังดีต่อกันหรือไม่ เราก็หวังว่ากัมพูชาจะเจรจา ด้วยท่าทีที่สุจริตใจเช่นกันซึ่งหากเป็นแบบนั้น ข้อสรุปย่อมหาได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





