Home
|
อาชญากรรม

DSI ชี้แจงกรณี ส่งสำนวนกรณีฮั้วฯ ตึก สตง. ให้ ปปช.

Featured Image
โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้แจงกรณีมีการเผยแพร่ข่าวสารว่า DSI ส่งสำนวนกรณีฮั้วฯ ตึก สตง. ให้ ปปช. ความผิดของบุคคล 6 ราย ภายใต้กิจการร่วมค้า บริษัทเอกชน

 

วันนี้ (4 ม.ย 68) เวลา 10.30 น. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดี DSI เปิดเผย ถึงความคืบหน้ากรณี เหตุอาคาร สตง.ถล่ม จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้สอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 ในความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กรณี บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เข้าเป็นกิจการร่วมค้า ITD-CREC คู่สัญญาก่อสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่

 

 

ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ รองอธิบดี DSI กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ประชุมและมีมติเห็นว่าการสอบสวนเสร็จสิ้นและได้มีความเห็นทางคดีเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จากนั้นวันที่ 23 พ.ค. ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีความเห็นทางคดี เสนอให้พนักงานอัยการคดีพิเศษสั่งฟ้องบริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด กับพวกรวม 5 ราย ในความผิดฐาน เป็นคนต่างด้าวฝ่าฝืนประกอบธุรกิจที่คนไทยยังไม่มีความพร้อมที่จะแข่งขันในการประกอบกิจการกับคนต่างด้าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และคณะกรรมการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวตามบัญชีสาม (10) การก่อสร้าง และเป็นผู้มีสัญชาติไทยให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวหลีกเลี่ยง หรือฝ่าฝืนประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว

 

โดยเป็นคนต่างด้าวซึ่งยินยอมให้ผู้มีสัญชาติไทย หรือนิติบุคคลที่มิใช่คนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนการประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาตและเป็นกรรมการ หุ้นส่วน หรือผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคลซึ่งยินยอม และรู้เห็นเป็นใจกับการให้ผู้มีสัญชาติไทยกระทำความผิดนั้น หรือมิได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดนั้น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 กระทั่งวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงได้นำสำนวนการสอบสวน จำนวน 46 แฟ้ม เอกสาร 17,620 แผ่น กd

 

พร้อมความเห็นควรสั่งฟ้อง บริษัท ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) กับพวกรวม 5 ราย ส่งมอบพนักงานอัยการคดีพิเศษ สำนักงานคดีพิเศษเพื่อให้พนักงานอัยการมีความเห็นทางคดีต่อไป นอกจากนี้ คณะพนักงานสอบสวนยังได้พิจารณาขยายผลสืบสวนความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือกฎหมายฮั้วประมูล ภายใต้การตรวจสอบสัญญา 3 ฉบับในโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ประกอบด้วย สัญญารับเหมาก่อสร้าง สัญญาการออกแบบ และสัญญาการควบคุมงาน เพื่อหาผู้เกี่ยวข้องรายอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ นิติบุคคล ที่มีพฤติการณ์ได้มาซึ่งสัญญาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ล่าสุดดีเอสไอได้ส่งรายงานข้อมูลให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวน เนื่องจากพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

เมื่อวานวันที่ 3 มิ.ย. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการพิจารณาสำนวนการสอบสวนความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 หรือคดีฮั้วประมูล ว่า ภายหลังจากที่คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการสอบสวนคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เสร็จสิ้น จึงได้ขยายผลดูเรื่องการได้มาซึ่งสัญญา 3 ฉบับ เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อันประกอบด้วย สัญญารับเหมาก่อสร้าง สัญญาการออกแบบ และสัญญาการควบคุมงาน พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และจากการสอบปากคำพยานกลุ่มบริษัทที่เคยเสนอราคา E-Bidding หรือคัดเลือกแล้วแต่กรณี จนมีความชัดเจนแล้วว่านอกจาก 6 รายในกิจการร่วมค้า PKW (ตามสัญญาการควบคุมงาน) ยังมีผู้บริหารระดับสูงของ สตง. เข้ามาเกี่ยวข้องในสัญญาฮั้วประมูล

 

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้รับไว้ดำเนินการเป็นคดีพิเศษที่ 58/2568 และได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานสำคัญ ก่อนส่งข้อมูลให้สำนักงาน ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวพันกันในส่วนของตำแหน่งหน้าที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ

 

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยอีกว่า สำหรับพฤติการณ์ความผิดของบุคคล 6 รายภายใต้กิจการร่วมค้า บริษัทเอกชน ซึ่งหน้าที่ควบคุมงาน ตามสัญญาการควบคุมงานนั้น ตามขั้นตอนแล้วจะต้องมีวิศวกรมาควบคุมงานจริง แต่ในการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานกลับพบว่ามีการปลอมเอกสารลายเซ็นของวิศวกรเพื่อให้ได้งาน ดังนั้น ทำให้พยานปากสำคัญภายในสำนักงาน สตง. ได้มาเข้าให้ข้อมูลกับดีเอสไอ กล่าวโทษตามกฎหมาย พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 11 “เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐผู้ใด หรือผู้ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานของรัฐผู้ใดโดยทุจริตทำการออกแบบ กำหนดราคา กำหนดเงื่อนไข หรือกำหนดผลประโยชน์ตอบแทน อันเป็นมาตรฐานในการเสนอราคาโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม หรือเพื่อช่วยเหลือให้ผู้เสนอราคารายใดได้มีสิทธิเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยไม่เป็นธรรม หรือเพื่อกีดกันผู้เสนอราคารายใดมิให้มีโอกาสเข้าแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000-400,000 บาท”

 

นายกฤตภัฏ (สงวนนามสกุล) ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการร่วมค้า PKW ร่วมกันกับ อดีตผู้ว่า สตง. และประธาน สตง. จัดซื้อจัดจ้างทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง จวบจนการควบคุมงาน ทำให้พบว่าผู้บริหารระดับสูงของ สตง. ได้เข้ามาเกี่ยวข้องในการฮั้วประมูล มีพฤติกรรมเป็นคนจัดฮั้วประมูล ล็อค สเป็กว่าจะเอาหรือไม่เอาบริษัทใดบ้าง อาทิ การออกแบบ ได้มีการเจาะจงเลือกบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด มาเขียนแบบ เพื่อเอื้อให้บริษัทจีน (กิจการร่วมค้า ITD-CREC : บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ และบริษัท อิตาเลียนไทยฯ) ได้ก่อสร้าง จากนั้นก็เอาบริษัทควบคุมงาน (กิจการร่วมค้า PKW) ที่ไม่ได้มีการควบคุมงานจริง มาอ้างใช้ในการควบคุมงาน พฤติกรรมเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการนำเอาเงินของรัฐไปทำให้เกิดความเสียหาย

 

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เผยต่อว่า สำนวนการสอบสวนคดีฮั้วประมูล ดีเอสไอจะได้ส่งให้สำนักงาน ป.ป.ช. ภายในกรอบสัปดาห์หน้า โดยจะเร่งรัดให้เร็วที่สุด เพื่อที่ ป.ป.ช. จะได้นำเรื่องเข้าคณะกรรมการ ป.ป.ช. (ชุดใหญ่) พิจารณาว่าจะมอบหมายให้ดีเอสไอดำเนินการบางส่วน หรือ ป.ป.ช. จะดำเนินการเองทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้บริหารของ สตง. ที่มีรายชื่อปรากฏในสำนวนฮั้วประมูล เพื่อเตรียมส่งให้ ป.ป.ช. ไต่สวนพร้อมกับ 6 ผู้บริหารของกิจการร่วมค้า PKW มีดังนี้ 1.พล.อ.ชนะทัพ อินทามระ ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) 2.นายประจักษ์ บุญยัง อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ 3.เลขานุการของ พล.อ.ชนะทัพ

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube