Home
|
ข่าว

“แมนยู” เปิดโปรแกรมปรีซีซั่น2025 บุกเอเชีย “มาเลเซีย-ฮ่องกง”

Featured Image
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เคลื่อนไหวทันทีหลังจบพรีเมียร์ลีก 2024/25 ด้วยการประกาศโปรแกรมอุ่นเครื่อง 2 นัดพบ อาเซียน ออล สตาร์ส ที่มาเลเซีย และทีมชาติฮ่องกง โดยเตะ 28 และ 30 พ.ค.นี้

 

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศโปรแกรมทัวร์เอเชีย 2025 นำโดย Snapdragon ผู้สนับสนุนหลักของสโมสร สำหรับการกลับมาทัวร์เอเชีย เอเชียอีกครั้งจากครั้งล่าสุดที่มาประเทศไทย ที่พบกับ ลิเวอร์พูล ในปี 2022

 

“ปีศาจแดง” จะลงสนามนัดแรกพบกับทีม อาเซียน ออล สตาร์ส ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

 

จากนั้นจะเดินทางไปพบกับ ทีมชาติฮ่องกง ในวันที่ 30 พฤษภาคม ถือเป็นการกลับมาเยือนเอเชียครั้งสำคัญ หลังห่างหายไปนานหลายปี

 

ครั้งล่าสุดที่แมนฯ ยูไนเต็ด ลงสนามที่ฮ่องกง คือปี 2013 ส่วนการมาเยือนมาเลเซียครั้งล่าสุด ต้องย้อนไปถึงปี 2009

 

ก่อนหน้านั้น ทีมของ รูเบน อโมริม จะลงสนามนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/25 ด้วยการเปิดบ้านพบ แอสตัน วิลล่า ในวันที่ 25 พฤษภาคม แล้วออกเดินทางข้ามทวีปแบบทันที

 

การเดินสายอุ่นเครื่องเอเชียครั้งนี้ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้สโมสรสูงถึง 7.8 ล้านปอนด์ หรือราว 360 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของแผนการสร้างรายได้เชิงพาณิชย์นอกสนาม

 

“การทัวร์อุ่นเครื่องสามารถสร้างรายได้ให้สโมสรอย่างมาก ซึ่งจะช่วยให้เราได้ลงทุนต่อไปเพื่อความสำเร็จในสนาม” โอมาร์ เบร์ราด้า ซีอีโอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวผ่านแถลงการณ์

 

หลังจบทริปเอเชีย นักเตะที่มีภารกิจทีมชาติจะต้องเดินทางไปรับใช้บ้านเกิดในช่วง ฟีฟ่า เดย์ ระหว่างวันที่ 2-10 มิถุนายน 2568

 

จากนั้นสโมสรจะเว้นช่วงพักราว 1 เดือน ก่อนกลับมารวมทีมอีกครั้งเพื่อลงเตะนัดกระชับมิตรพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่กรุง สต็อคโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในวันที่ 19 กรกฎาคม

 

ช่วง 26 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม แมนฯ ยูไนเต็ด จะเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วม ทัวร์ปรีซีซั่น พรีเมียร์ลีก ซัมเมอร์ซีรีส์ ก่อนฤดูกาลใหม่พรีเมียร์ลีก 2025/26 จะเปิดฉากอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 สิงหาคม

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube