ผลการศึกษาล่าสุดจากมินเทล (Mintel) พบว่า คนไทย 48% เลื่อนหรือไม่ก็ยกเลิกแผนซื้อสินค้าราคาสูง ด้วยสินค้าและบริการมีราคาแพงขึ้น ขณะที่ 43% ซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับลดลง 41% รับประทานอาหารนอกบ้านน้อยลง และยังพบอีกว่า คนไทยให้ความสำคัญกับการเก็บเงินและตอบสนองความต้องการของตน โดยผู้บริโภค 50% มองว่าความสำเร็จทางการเงินคือความสามารถในการใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ และ 55% กันเงินไว้ใช้เพื่อจับจ่ายใช้สอยตามใจตัวเอง
คุณวิลาสิณี ศิริบูรณ์พิพัฒนา นักวิเคราะห์ไลฟ์สไตล์อาวุโส มินเทล รีพอร์ท ประเทศไทย กล่าวว่า “จากข้อมูลที่พบในรายงานมินเทล เอแพค อีโคโนมิก แทร็กเกอร์ (Mintel APAC Economic Tracker) ปัญหาของแพงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อค่าครองชีพและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม ยังคงเป็นเรื่องที่คนไทย 75% มีความกังวล โดยแบรนด์ต่าง ๆ เข้ามาจัดการกับความกังวลนี้ได้ ด้วยการใช้ความคิดริเริ่มต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคตามใจตัวเองได้ในค่าใช้จ่ายที่จำกัด เช่น ออกสินค้าขนาดเล็กลงในราคาที่เอื้อมถึง หรือนำเสนอช่องทางทางการเงินเพื่อให้ดูแลจัดการเรื่องการซื้อของได้ง่ายขึ้น”
ผลการศึกษาพบว่า คนไทย 42% มองว่าศัพท์ทางการเงินเป็นเรื่องเข้าใจยาก และมีเพียง 36% เท่านั้นที่รู้สึกมั่นใจในความรู้ทางการเงินของตน โดยผู้บริโภคอายุ 18-24 ปีและผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไปมีระดับความเชื่อมั่นทางการเงินที่ต่ำกว่า (22% และ 18% ตามลำดับ) เมื่อเทียบกับผู้ที่มีอายุ 25-44 ปี ซึ่งมีเพียง 14% ของกลุ่มนี้ที่เผยว่า ‘ไม่มั่นใจ’ กับความรู้ทางการเงินของตน
นอกจากนี้ ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements) เปิดเผยว่า ไทยมีอัตราส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP สูงเป็นอันดับต้น ๆ ในเอเชีย ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมยังรายงานด้วยว่า นอกจากคนรุ่นใหม่จะต้องเผชิญกับปัญหาหนี้บัตรเครดิตจำนวนมากและหาเงินมาคืนลำบากแล้ว ผู้สูงอายุก็ยังเกษียณโดยที่ยังมีภาระหนี้สินจำนวนมากและไม่มีเงินเก็บเช่นกัน
