fbpx
Home
|
ทั่วไป

ไทยพบผู้ติดเชื้อ “โอไมครอน” รายแรกของประเทศ

Featured Image
ด่วน! สธ.แถลงยืนยัน ไทยพบ “โอไมครอน” รายแรก เป็นชายสหรัฐมาจากสเปน ขออย่าตระหนก

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยถึงสถานการณ์และความคืบหน้าการเฝ้าระวังสายพันธุ์ “โอไมครอน” หรือ “โอมิครอน” (Omicron) ว่าเทคนิคการตรวจหาสายพันธุ์ ตรวจด้วยระบบ RT-PCR ทราบผล 1-2 วัน, Target sequencing ทราบผลใน 3 วัน และ Whole genome sequencing ทราบผลใน 7 วัน

ส่วนการตรวจวันนี้สำหรับผู้ที่พำนักในประเทศไทย โดยเริ่มจากตรวจตำแหน่ง L452R (delta) ก่อน ส่วนโอไมครอน กลายพันธุ์หลายตำแหน่ง หากตรวจแล้วพบว่าหายไปของตำแหน่ง 69-70 และตรวจพบว่ามีการกลายพันธุ์ที่ K417N ให้สันนิษฐานว่าเป็น “โอไมครอน” ก่อน

“เอาตัวอย่างจากคู่สัญญา รพ.ที่รับตรวจแล้ว Positiveที่ส่งมาให้วันศุกร์เย็นบ่ายๆ ซึ่งตรวจพบเบื้องต้นเช่นนี้เพราะฉะนั้นเราก็จะสรุป ณ ขณะนั้นว่าอาจจะเป็น”โอไมครอน” ซึ่งเราก็จะได้แจ้งทาง กรมควบคุมโรค (คร.) ซึ่งทาง คร. ก็ไปดำเนินการสอบสวนโรค” นพ.ศุภกิจ กล่าว

นพ.ศุภกิจ ยังกล่าวว่า จะไม่รอชักช้า จนกระทั่งพิสูจน์ชัด แต่แน่นอนเป็นรายแรกของประเทศหากเจอเพียงแค่นี้แล้วรีบออกมาบอกว่า “เจอโอไมครอนแล้วนะ” ในประเทศไทย แล้วไปตรวจยืนยันแล้วไม่ใช่อาจเกิดความยุ่งยาก

ส่วนรายที่เป็นแอฟริกา ตรวจออกมาเบื้องต้นเป็นเดลต้า เพราะฉะนั้นจำเป็นต้องตรวจยืนยันเพิ่มเติมว่าเป็น “โอไมครอน” หรือไม่

สำหรับข้อมูล 1 ราย ตรวจเบื้องต้นโดยใช้คำว่า “มีแนวโน้ม” ว่าจะเป็นอะไร ซึ่งนำมาตรวจด้วย Tes and go เป็นเพศชาย ชาวสหรัฐฯ เดินทางมาจากประเทศสเปน พบตำแหน่งกลายพันธุ์ ซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งที่พบใน “โอไมครอน” จากนั้นตรวจอีกครั้งเพื่อหา S.T478K และ S.N501Y แสดงให้เห็นว่ามีเป็นสายพันธุ์ “โอไมครอน” โดยเครื่องทดสอบพบ ความเข้ากันได้กับจีโนม “โอไมครอน” 99.92% จากนั้นจะพิสูจน์อีกรอบเพื่อความมั่นใจ 100% แต่ในวันนี้สรุปได้ว่าเป็น “โอไมครอน” รายแรกที่ตรวจพบในประเทศไทย

นพ.ศุภกิจ ยังกล่าวว่าเป็นโอไมครอน หากมีรายที่ 1 ก็จะมีรายที่ 2 รายที่ 3 เชื่อว่าอย่างนั้น แต่ว่าไม่มีความจำเป็นต้องตระหนกตกใจ จากนี้ต้องจัดมาตรการให้เข้มงวดต่อไป

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube