fbpx
Home
|
ทั่วไป

แคมป์คนงานติดโควิดอินเดียแล้ว36ราย

Featured Image
ผลตรวจเชิงรุกแคมป์คนงาน พบโควิดสายพันธุ์อินเดียแล้ว 36 ราย  เร่งหาต้นตอการระบาด -วัคซีนแอสตราเซเนกา ยังป้องกันได้

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากการเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโควิด- 19 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ตรวจตัวอย่างที่ส่งมาจากแคมป์คนงานก่อสร้าง และบริเวณใกล้เคียง จำนวน 80 ตัวอย่าง พบว่าเป็น โควิดสายพันธุ์อินเดีย (B.1.617.2) จำนวน 36 ราย เป็นคนไทย 21 ราย คนงานชาวเมียนมา 10 รายและกัมพูชา 5 ราย ที่เหลือเป็นสายพันธุ์อังกฤษ (B.1.1.7) และยังมีตัวอย่างจากการค้นหาเชิงรุก จากพื้นที่อื่นใน กทม.อีก 2 แห่ง แต่พบเป็นสายพันธุ์อังกฤษทั้งหมด

สำหรับการ โควิดสายพันธุ์อินเดีย พบครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน และยังมีการระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าวในประเทศมาเลเซีย  เป็นไปได้ว่ามีโอกาสหลุดเข้ามาได้ทุกช่องทาง  แต่จากการสอบสวนโรคจากแรงงานกัมพูชาและเมียนมา เบื้องต้นทั้ง 15 ราย  พบว่าไม่ได้เป็นแรงงานผิดกฎหมาย อยู่ในประเทศไทยมาสักระยะหนึ่ง

ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในแคมป์คนงาน ซึ่งสายพันธุ์อินเดียการแพร่กระจายโรคคล้ายกับสายพันธุ์อังกฤษ  และสายพันธุ์อินเดียไม่ดื้อต่อวัคซีน  โดยเฉพาะวัคซีนแอสตราเซเนกา  ยังสามารถป้องกันสายพันธุ์อินเดียรวมถึงสายพันธุ์อังกฤษได้ เนื่องจากอังกฤษใช้แอสตราเซเนกา เป็นหลัก  และพบว่าการระบาดลดน้อยลง โดยประเทศอังกฤษได้มีการระบาดทั้งสายพันธุ์อินเดียและสายพันธุ์อังกฤษจำนวนมาก

 

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข

“สาธิต” เผย สธ.-กทม.-มั่นคง ซีลเข้มคลัสเตอร์แรงงานก่อสร้างหลักสี่ คาด 28 วันเคลียร์จบ รับกังวล โควิดสายพันธุ์อินเดียเข้าไทย สั่ง ตรวจเชิงรุกทุกจุดต้องแยกสายพันธุ์ หวั่นระบาดหนักกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ไทย

นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีพบแคมป์คนงานก่อสร้าง เขตหลักสี่ ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย จำนวน 15 คน ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกรุงเทพมหานคร พยายามใช้หลัก Bubble and Seal ร่วมกับการตรวจคัดกรองหาเชื้อไปพร้อมกัน โดยมีฝ่ายความมั่นคง กักบริเวณไม่ให้แรงงานเคลื่อนย้ายไปที่อื่น โดยหากพบใครมีอาการหนักก็จะแยกตัวออกมารักษา โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาประมาณ 28 วันในกระบวนการคัดแยก

ทั้งนี้ นายสาธิต ยอมรับว่า รู้สึกมีความกังวลกับการแพร่ระบาดสายพันธุ์อินเดีย ซึ่งการตรวจพบการแพร่ระบาดในกลุ่มแรงงานก่อสร้าง เขตหลักสี่นั้น เป็นการตรวจพบเชื้อหลายวันแล้ว ก่อนนำไปตรวจคัดแยกสายพันธุ์อีกครั้ง ซึ่งจะต้องมีการเข้มในมาตรการไม่ให้แรงสามารถเล็ดลอดออกมาภายนอกได้ ซึ่งถือเป็นหลักการสำคัญ

นายสาธิต ยังยอมรับว่า การเข้ามาของสายพันธุ์อินเดีย อาจเข้ามาแล้วก่อนหน้านี้ แต่ตรวจไม่เจอ เช่น ช่องทางธรรมชาติ ทางชายแดนมาเลเซีย แต่ในวันนี้มีการตรวจยืนยันแล้วพบเชื้อ และเมื่อพบแล้วก็ต้องจัดการให้ได้ ส่วนมีการแพร่ระบาดไปยังจุดอื่นแล้วหรือไม่นั้น ตนไม่สามารถระบุได้ว่าไม่มีการแพร่ระบาดของสายพันธุ์อินเดียไปยังจุดอื่น แต่อย่างไรก็ตามจะต้องเป็นไปตามการจัดการการสอบสวนโรค ซึ่งแน่นอนที่สุดสายพันธุ์อินเดียนั้นมีความน่ากลัว และหลังจากนี้การตรวจเชิงรุกในแต่ละพื้นที่จะต้องมีการนำมาตรวจแยกสายพันธุ์อีกครั้งหนึ่งด้วย เพื่อให้สามารถเท่าทันต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดได้

ส่วนข้อกังวลเรื่องการกลายพันธุ์ภายในประเทศไทยนั้น นายสาธิตระบุว่า ขณะนี้ฝ่ายวิชาการทางการแพทย์ได้ติดตามมาโดยตลอด ซึ่งเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย ที่เข้ามาแพร่ระบาดในไทยนั้นตนยอมรับว่าน่ากลัว แต่ต้องระวังการเกิดสายพันธุ์ไทยขึ้นหรือไม่ เพราะหากติดเชื้อกันจำนวนมาก ไวรัสจะพัฒนาปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้สู้กับสถานการณ์ เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อสะสมอยู่จำนวนมาก สิ่งเหล่านี้น่ากลัว แต่เป็นเหตุการณ์ที่ต้องเจออยู่แล้ว และหยุดลำบาก ซึ่งจะต้องทำการควบคุมโรคและฉีดวัคซีนควบคู่กันไป เพื่อที่จะยุติการแพร่ระบาดให้ได้ และท้ายที่สุดไม่ว่าจะพบสายพันธุ์อะไรก็ตาม จะต้องไม่เกิดความรุนแรงจนกระทั่งเสียชีวิตในอนาคต

ส่วนวัคซีนจากซิโนแวคจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์อินเดียได้หรือไม่นั้น นายสาธิต ระบุว่า วัคซีนทุกยี่ห้อสำหรับไวรัสแล้ว ได้สอบถามไปยังนักวิชาการ ไม่สามารถคิดค้นเทคโนโลยีที่สามารถดักหน้า ไวรัสได้ เนื่องจากตัวไวรัสเองก็จะพัฒนา และเราจะต้องคิดค้นตามหลังหาวัคซีนไปควบคุมอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถตอบได้ว่า วัคซีนจากซิโนแวค หรือวัคซีนยี่ห้อใด จะสามารถโคฟเวอร์สายพันธุ์ที่เกิดขึ้นใหม่ได้

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube