พบคลัสเตอร์นักศึกษา ม.วลัยลักษณ์ นครศรีธรรมราช – ขณะ หญิงท้อง 8 เดือน เสียชีวิตอีกราย หลังเดินทางกลับมาจาก กทม. เข้ารักษาตัว ที่ รพ.สิชล
ที่ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อำเภอท่าศาลา จังหวัด นครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบ คลัสเตอร์นักศึกษา ที่ติดเชื้อภายในหอพักของมหาวิทยาลัย โดยพบว่าต้นเชื้อได้เดินทางมาจากจังหวัดภาคใต้ โดยไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้ติดเชื้อไม่แสดงอาการ
โดยเมื่อเข้าพักในหอพักได้เล่นฟุตบอล กับเพื่อนนักศึกษาหลายคน จนถึงขณะนี้พบว่ามีผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์นี้แล้ว ไม่น้อยกว่า 11 คน โดยมี 3 คนเป็นพนักงานร้านสะดวกซื้อ นอกจากนั้นยังพบคลัสเตอร์คนงานก่อสร้าง ในมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อีก 13 คน ที่พักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง ในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ติดเชื้อทั้ง 13 ราย โดยทั้งหมดได้ถูกนำเข้ารักษาตัวแล้ว ขณะที่ภายในมหาวิทยาลัย ได้ยกระดับการควบคุมโรคขั้นสูงสุด นำเจ้าหน้าที่และนักศึกษาในอาคารเดียวกัน เข้าตรวจคัดกรองเชิงรุกทุกราย
ส่วนสถานการณ์ในการรับผู้ป่วยขณะนี้ มีผู้ป่วยรายใหม่ 51 ราย เป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อจังหวัด 17 ราย และเดินทางมา จาก กทม. ปริมณฑล 34 ราย รักษาตัวใน รพ. ขณะนี้ 471 ราย เป็นผู้ป่วยในจังหวัด 266 ราย ผู้ป่วยจากต่างจังหวัด 205 ราย โดยสถานการณ์ของการครองเตียงปกติ ในสถานพยาบาลที่มีวอร์ดโควิดมีการครองเตียงเต็มทุกแห่งแล้ว เจ้าหน้าที่เร่งระบายผู้ป่วยที่อาการดีขึ้น และเกือบหายแล้วเข้าไปพักต่อใน รพ.สนาม เช่น รพ.สิชล ได้ย้ายผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นอย่างน้อยราว 40 ราย มาดูต่อที่ศาลาประชาคม อำเภอสิชล
นอกจากนั้น ยังมีรายงานของผู้ป่วยเสียชีวิต ล่าสุด อีก 1 ราย เป็นผู้ป่วยหญิง อายุ 29 ปี ตั้งครรภ์ 8 เดือน เป็นชาวอำเภอพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เดินทางกลับมาจาก กทม. มารักษาตัว ที่ รพ.สิชล ตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากไม่มีเตียงรักษาพร้อมกับสามี โดยหญิงรายนี้ได้เสียชีวิตวานนี้เป็นรายที่ 25 ของจังหวัดนครศรีธรรมราช
แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างวิเคราะห์สาเหตุการตายอย่างละเอียด นอกจากการติดเชื้อแล้วยังพบว่ามีภาวะปอดอักเสบรุนแรง เมื่อวันที่ 9 ก.ค. และพบภาวะ มีถุงน้ำคร่ำแตก น้ำเดิน เข้าสู่กระแสเลือด เกิดการอุดตัน ในระบบไหลเวียนโลหิต ในร่างกายเฉียบพลัน ทำให้เสียชีวิต
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
