fbpx
Home
|
เศรษฐกิจ

CIMB ชี้ปัจจัยเสี่ยงรุมศก.หั่นจีดีพีปี65เหลือ3.1%

Featured Image
CIMB มอง เศรษฐกิจไตรมาส 2 ปี 2565 พบปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ปรับลดคาดการณ์ จีดีพีทั้งปีลง จาก3.8% เหลือ3.1% แม้ไตรมาส 2 มีโอกาสโตดีกว่าไตรมาส 1

 

นายอมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา เศรษฐกิจไทยเผชิญความผันผวนจากความไม่แน่นอน ทั้งจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน การระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) ที่ทำให้ราคาเนื้อสัตว์และไข่ไก่แพง ตามมาด้วยสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่นำไปสู่ปัญหาราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และสร้างความกังวลต่อการเร่งขึ้นของเงินเฟ้อทั่วโลกไม่แค่เฉพาะไทย

 

นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดของธนาคารกลางสหรัฐฯ รวมทั้งฝั่งเอเชียเผชิญความเสี่ยงของการออกมาตรการควบคุมกฎระเบียบต่อบริษัทจีนและการกลับมาออกมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโควิดอีกครั้งในประเทศจีน โดยรวมปัจจัยเหล่านี้น่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด

 

รวมทั้งการลดงบดุลเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่จะยิ่งทำให้การใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนชะลอต่อเนื่องได้ในปีนี้ ด้วยปัจจัยเสี่ยงที่รุมเร้าเช่นนี้ สำนักวิจัยฯ ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้ลงจากร้อยละ 3.8 เหลือ ร้อยละ 3.1

 

โดยในช่วงไตรมาสสองเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 2.3 จากการท่องเที่ยวกระเตื้องขึ้น เมื่อความเชื่อมั่นฟื้น และเชื่อว่าคนอยู่ร่วมกับโควิดได้ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะยังสูงกว่าหมื่นรายต่อวัน แต่เมื่อได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิภาพมากพอ และอาการไม่รุนแรง รัฐบาลไม่น่าจะกลับมาล็อกดาวน์อีกและพร้อมเดินหน้าเปิดประเทศและลดข้อจำกัดต่างๆ ได้มากขึ้นเป็นผลดีต่อการท่องเที่ยวจากต่างชาติและคนไทยในประเทศ

 

และเชื่อว่าการส่งออกยังขยายตัวได้ในช่วงไตรมาสสอง แม้อาจชะลอไปบ้างจากไตรมาสแรก แต่ด้วยการส่งออกสินค้าเกษตร ปิโตรเคมี และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่ราคาขยับขึ้นตามราคาน้ำมันน่าจะพยุงการส่งออกได้ อีกทั้งการส่งออกสินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน และกลุ่มอาหารแปรรูปที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันและตลาดสำคัญ เช่น สหรัฐ ยุโรป และอาเซียนยังคงเติบโตได้ ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะยังคงพยุงรายได้จากการส่งออกไว้

 

โดยค่าเงินบาท มีโอกาสอ่อนค่าแตะระดับ 34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากความกังวลในการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกตามปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันเพิ่มสูง ซึ่งมีผลให้ไทยขาดดุลการค้า ประกอบกับในช่วงไตรมาสสองนี้ ทางเฟดน่าจะขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วและแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และยิ่งจะส่งผลให้เงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทย ที่ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยและสหรัฐจะกว้างขึ้นเร็ว

 

แต่เราเชื่อว่าเงินบาทจะพลิกกลับมาแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งปีหลังและแตะระดับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ในช่วงปลายปี ด้านอัตราดอกเบี้ย ธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 0.50 ต่อปีตลอดทั้งปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube