fbpx
Home
|
เศรษฐกิจ

โพลส.อ.ท.จี้ทบทวนขึ้นค่าไฟ-ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ

Featured Image
ส.อ.ท. เผย ผลสำรวจภาคอุตสาหกรรม หนุนภาครัฐทบทวนปรับขึ้นค่าไฟ ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบเอื้อการผลิต ชี้ รัสเซีย-ยูเครน ยืดเยื้อดันราคาพลังงานพุ่ง

 

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 16 ในเดือนมีนาคม 2565 ภายใต้หัวข้อ “โพล ส.อ.ท. หนุนทบทวนปรับขึ้นค่า Ft” จากสมาชิก ส.อ.ท. ที่เข้าร่วมประชุมสามัญ ประจำปี 2565 เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565 โดยสอบถามสมาชิกเกี่ยวกับข้อเสนอที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการใน 5 เรื่อง

 

ซึ่งมีผู้ตอบแบบสำรวจ จำนวน 460 ท่าน ครอบคลุมผู้ประกอบการจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า จากผลกระทบของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตลอดจน วิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่สงครามยังคงยืดเยื้อ ทำให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นและส่งผลทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

 

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตในช่วงนี้ เช่น การทบทวนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Float time: Ft) ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคการผลิต ส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) ผลักดันระบบการจ่ายค่าแรงตามทักษะ (Pay by Skill) สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยว เป็นต้น

 

สำหรับรายละเอียด 5 คำถาม คือ

1. ภาครัฐควรดำเนินมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบจากราคาพลังงานแพงอย่างไร

  • อันดับที่ 1 : ทบทวนการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) 68.30%
  • อันดับที่ 2 : ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้า 57.60%
  • อันดับที่ 3 : สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร/อุปกรณ์ 55.00% เพื่อการประหยัดพลังงาน
  • อันดับที่ 4 : เพิ่มสิทธิประโยชน์ BOI สำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานทดแทน 50.90%ให้สามารถยกเว้นภาษีได้ 100% ของเงินลงทุน
  • อันดับที่ 5 : โครงการคืนผลประหยัดไฟฟ้าที่ลดได้ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า (Demand Response) 48.50%

 

2. ภาครัฐควรดำเนินการแก้ไขปัญหาวัตถุดิบขาดแคลน และวัตถุดิบแพงอย่างไร

  • อันดับที่ 1 : ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบที่จำเป็นต่อภาคการผลิต 63.90%
  • อันดับที่ 2 : ปลดล๊อคเงื่อนไขและโควต้าการนำเข้าวัตถุดิบโดยเฉพาะในวัตถุดิบที่ขาดแคลน 63.00%
  • อันดับที่ 3 : ควบคุมและดูแลราคาสินค้าไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาเกินจริง 53.50%
  • อันดับที่ 4 : สนับสนุนให้ผู้ส่งออกวัตถุดิบขาดแคลนให้มาจำหน่ายภายในประเทศก่อน 46.70%
  • อันดับที่ 5 : สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้ผู้ประกอบการ 42.40% เพื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ

 

3. ภาครัฐควรดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคด้านการส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร

  • อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการพัฒนาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport) 71.10% ในภูมิภาค เช่น ทางราง, ทางเรือ เป็นต้น
  • อันดับที่ 2 : เร่งการเชื่อมโยงใบอนุญาต/ใบรับรองต่างๆ ของกลุ่มสินค้าหลัก 57.60% ในระบบ National Single Window (NSW)
  • อันดับที่ 3 : ส่งเสริมและพาผู้ประกอบการออกไปเปิดตลาดที่ไทยมีศักยภาพ 57.20%
  • อันดับที่ 4 : ผลักดันการเปิดด่านชายแดนที่ถูกปิดช่วงโควิดและยกระดับด่านชายแดน 54.60% เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้า
  • อันดับที่ 5 : ผลักดันการใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local currency) ในการค้าขายผ่านชายแดน 27.20%

 

4. ภาครัฐควรปรับปรุงการบริหารจัดการแรงงาน และแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างไร

  • อันดับที่ 1 : ผลักดันระบบการจ่ายค่าแรงตามทักษะ (Pay by Skill) แทนค่าแรงขั้นต่ำ 71.10%
  • อันดับที่ 2 : เร่งพิจารณาเปิดการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมาย 60.00%ให้ถูกต้องตามกฎหมายอีกครั้ง
  • อันดับที่ 3 : ขอให้ภาครัฐหารือกับรัฐบาลประเทศต้นทางในระดับรัฐมนตรีเพื่อเร่งรัดการนำเข้า 54.60% แรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU โดยเร็ว
  • อันดับที่ 4 : ปรับลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าแรงงานต่างด่าว เช่น ค่าตรวจ COVID-19 51.70% เปลี่ยนการตรวจด้วยวิธี RT-PCR เป็นการตรวจด้วยวิธี ATK, ลดค่าสถานที่กักตัว และลดระยะเวลากักตัว เป็นต้น
  • อันดับที่ 5 : พิจารณาปรับขั้นตอนการเปลี่ยนนายจ้างของแรงงานต่างด้าวภายใต้ MOU 49.80%ให้มีความรัดกุม เพื่อป้องกันการแย่งคนงานระหว่างผู้ประกอบการ

5. ภาครัฐควรเร่งดำเนินมาตรการใดเพื่อส่งเสริมการเปิดประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย

  • อันดับที่ 1 : สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยว 64.10%
  • อันดับที่ 2 : ปรับกระบวนการออกใบอนุญาต Work permit เพื่ออำนวยความสะดวก 60.40% และดึงแรงงานทักษะสูงเข้ามาทำงานในประเทศ
  • อันดับที่ 3 : ผ่อนปรนเงื่อนไขและเพิ่มมาตรการจูงใจนักลงทุนศักยภาพให้เข้ามาลงทุน 60.20% และอาศัยในประเทศ (Long Stay)”
  • อันดับที่ 4 : เร่งพิจารณายกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (Capital Gain Tax) 53.00% สำหรับธุรกิจ Start up ให้มาลงทุนในไทยมากขึ้น
  • อันดับที่ 5 : ยกเลิกมาตรการ Test & Go และอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าประเทศ 50.00%

 

 

 

 

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

LINE Official Account : @innnews

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube