fbpx
Home
|
เศรษฐกิจ

51รายการสินค้า-บริการควบคุมปี64

Featured Image
ครม. เห็นชอบกำหนด สินค้าและบริการควบคุม ปี 64 ตามปี 63 รวม 51 รายการ

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมปี 2564 ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเสนอผ่านกระทรวงพาณิชย์

โดยให้คงสินค้าและบริการควบคุม ปี 2564 เช่นเดียวกับ ปี 2563 จำนวน 51 รายการ แบ่งเป็น 46 สินค้า และ 5 บริการ กำหนดเป็น 11 หมวด ได้แก่

1)หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์

2)หมวดบริภัณฑ์ขนส่ง

3)ปัจจัยทางการเกษตร

4)ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม

5)หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์

6)หมวดวัสดุก่อสร้าง

7)หมวดสินค้าเกษตรที่สำคัญ

8)หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค

9)หมวดอาหาร

10)หมวดอื่นๆ

และ11)หมวดบริการ สำหรับสินค้าและบริการควบคุมปี 2564 เช่น น้ำมันและไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ ผงซักฟอก บริการซื้อขาย และบริการขนส่งสินค้าสำหรับธุรกิจออนไลน์บริการรับชำระเงิน ณ จุดบริการ

 

ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่น ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพและปลอดภัย

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่น ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่น ให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิชาการและเทคโนโลยีการผลิตในปัจจุบัน และส่งเสริมการทำผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่น ภายในประเทศให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 180 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ผู้ทำหรือผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่น และผู้รับใบอนุญาตทำหรือนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่นจะต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตตามมาตรฐานที่กำหนดใหม่ก่อนวันที่กฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐานมีผลใช้บังคับ รวมถึงผู้จำหน่ายจะต้องจำหน่ายผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่น ที่ได้รับอนุญาตและเป็นไปตามมาตรฐาน ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของเล่นที่มีคุณภาพ มีความปลอดภัย เป็นการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของผู้บริโภค

 

ครม. รับทราบ ไทยขยับอันดับความสามารถในการแข่งขันดีขึ้น 1 อันดับ ยืนอันดับ 3 ในอาเซียน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานสรุปผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ IMD ซึ่งได้ประกาศไปเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา โดยไทยนั้นมีอันดับที่ดีขึ้น ขยับมา 1 อันดับ จากปี 2563 มาอยู่ในอันดับที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลกในปีนี้

ทั้งนี้ ผลจากวิกฤตการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ทำให้คะแนนสุทธิเฉลี่ยของทั้ง 64 เขตเศรษฐกิจลดลงจาก 71.82 ในปี 2563 เหลือเพียง 63.99 จากคะแนนเต็ม 100 ในปี 2564 โดยไทยยังคงมีคะแนนสุทธิในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยอยู่ที่ 72.52 ลดลงเล็กน้อยจาก 75.39 ในปี 2563 และเมื่อมองภาพรวมในอาเซียน ไทยยังคงรักษาระดับอยู่ที่อันดับ 3 ของกลุ่มอาเซียน 5 ประเทศ โดยอันดับที่ 1 ได้แก่ สิงคโปร์ อันดับที่ 2 มาเลเซีย อันดับที่ 3 ไทย อันดับที่ 4 อินโดนีเซีย และอันดับที่ 5 ฟิลิปปินส์

ครม. รับทราบรายงานเศรษฐกิจไทย มอง ปี 64 ขยายตัวร้อยละ 3, ปีหน้า ร้อยละ 4.7 จับตาชำระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ว่า ที่ประชุมรับทราบรายงานภาวะและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3

ขณะที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาและการส่งออกของเอเชียที่ฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 4.7 และฟื้นตัวจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในปีหน้า จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นภายหลังการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างทั่วถึง

อย่างไรก็ตาม ระบบการเงินไทยยังมีเสถียรภาพแต่เปราะบางมากขึ้นจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอ่อนแอ จึงต้องติดตามฐานะทางการเงิน และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจอย่างใกล้ชิด

 

 

ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่

Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th

Twitter : https://twitter.com/innnews

Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN

TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube