จ่อยื่นศาลขอตรวจ DNA เด็ก13 ปี หลังพ่อเลี้ยงคนไทยร้องขอ
อธิบดีอัยการ สคช. เผย ต้องยื่นศาลขอตรวจ DNA เด็กวัย 13 ปี จ.สุรินทร์ หลังพ่อเลี้ยงคนไทยร้องขอ เพื่อพิสูจน์ความเป็นพ่อลูกและสัญชาติ แนะทำตามกฎหมาย แก้ปัญหาได้
นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง อธิบดีอัยการสำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) ได้โพสต์ข้อความทางเพจเฟซบุ๊ก “โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง” แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีของเด็กชายชาวกัมพูชา อายุ13 ปี ในจังหวัดสุรินทร์ ที่กำลังเป้นประเด็นดราม่า อยู่ในขณะนี้ โดยระบุว่า กฎหมาย ต้องผลักดัน แม่นร.ต่างด้าว กลับกัมพูชา สังคมส่วนหนึ่งสงสารเด็ก ตำรวจต้องทำหน้าที่ตามกฎหมาย ความคิดจึงแตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายสงสารเด็ก กับฝ่ายไม่ชอบกัมพูชา ด้วยเหตุผลสถานการณ์สู้รบ และข่าวสาร ใส่ร้ายบิดเบือนความจริง
แต่ประเทศไทยไม่ใช่บ้าน ที่เพื่อนบ้านไม่ดี ก็แก้ปัญหา ด้วยการย้ายบ้านหนี ไปอยู่ที่อื่นปัญหาก็จบ…เมื่อประเทศไทยไม่ใช่บ้าน เราไม่สามารถยกประเทศไทย ไปอยู่ที่อื่น หรือย้ายบ้านหนีได้ จึงต้องแก้ปัญหาด้วยกฎหมาย เพื่อความถูกต้อง เพราะเป็นกติกาของสังคม ให้คนในประเทศไทย อยู่ตามกติกา จึงไม่จำเป็นต้องมีความคิดที่แตกแยก ดูกฎหมายเถอะครับ ที่ผ่านมาก็ใช้กฎหมายแก้ปัญหาได้ เกือบทุกเรื่องจริงๆ
เด็กนร.กัมพูชา ปัญหาที่แท้จริงเกิดมาจากแม่ ซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย สถานะไม่ถูกต้อง ถ้าแม่ทำให้ถูกต้อง เข้ามาให้ถูกต้อง หมดอายุก็ต่อเอกสารให้ถูกต้อง ลูกนร.จะเกิดปัญหาเช่นนี้หรือไม่ ? ไทยมีมนุษยธรรม คนต่างชาติที่เข้ามาอยู่อย่างถูกต้อง ได้เรียนหนังสือ ตามกฎระเบียบของไทยอยู่แล้ว แต่ครั้นแม่ไม่ทำให้ถูกต้อง เกิดเรื่อง ตำรวจต้องผลักดันออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะอนุสัญญาคุ้มครองเด็ก หรือกฎหมายคุ้มครองเด็ก
ต้องคิดถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ เจ้าหน้าที่คงต้องถามเด็กว่า ถ้าส่งแม่กลับกัมพูชา เด็กจะสมัครใจไปกับแม่ หรือจะเรียนต่อในเมืองไทยโดยไม่มีแม่ ซึ่งต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายต่อไป เพราะ ผู้ไม่มีบัตรประชาชน ต้องอยู่ในอำเภอ จะเดินทางไปไหนต้องขออนุญาตออกนอกเขต ฯ ผมว่าเด็กทั่วไป ถ้าอายุ 13 ปี และเรียนดี ไม่เกเร ต้องเลือกไปกับแม่แน่ เมื่อแม่เป็นคนกัมพูชา และได้ข้อมูลจากตำรวจว่าเด็กเข้ามาตอนอายุ 6 ขวบ ย่อม พอจะพูด และฟัง ภาษาของเขาได้
อีกทั้งยังมีแม่ อยู่ดูแล การที่เด็กจะกลับไปกับแม่ ก็เป็นเรื่องที่ทำถูกกฎหมาย โดยสอบถามให้เด็กสมัครใจ ไม่ใช่บังคับให้ไป เด็กปกติ ย่อมอยู่กับแม่เป็นแน่แท้ และภายหลังถ้าแม่ยังอยากนำลูกกลับมาเรียนในฝั่งไทย แม่ก็กลับไปทำเอกสารเข้ามาทำงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย และนำลูกกลับเข้ามาให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ย่อมดำเนินการกันได้ เป็นทางเลือกของครอบครัวเค้าเอง ?
ประเด็นทางโซเชียล ที่ไม่รู้ความจริง ดูแค่คลิปสั้น หรืออ่านไม่หมด อ่านไม่จบ มักถูกหยิบยกมาถกเถียงให้เกิด ความขัดแย้งหรือกระแสสังคมกันตลอดมา เรื่องนี้ช่วงแรก ก็มีข้อมูลว่าเด็กเกิดในประเทศไทยกับพ่อคนไทย อ้าว อย่างนี้กฎหมายไทยก็ให้อยู่ได้นะครับ ต่อมา ผู้การจังหวัด บอกว่าเด็กเข้ามาตอนหกขวบ มากับแม่ ถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ แม่อยู่ผิดกฎหมายก็ต้องผลักดันกลับ ลูก ซึ่งกฎหมายไทยคุ้มครองอยู่แล้ว เราก็ก็คงต้องถามเด็ก ว่าจะกลับไปกับแม่ หรือจะขออยู่ต่อ แล้วมาพิจารณาเงื่อนไขตามกฎหมายให้ถูกต้องกันต่อไป
แต่เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ผมได้รับรายงานจากอัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิ์สุรินทร์ ว่า พ่อเลี้ยงขอตรวจ DNA แล้ว เพราะไม่แน่ใจว่า เป็นลูกแท้จริงหรือไม่ การประชุมส่วนราชการในจังหวัด จึงให้อัยการ ดำเนินการ โดยอาจต้องยื่นคำร้องต่อศาล และให้มีการตรวจ DNA ของพ่อเลี้ยงกับเด็กนร. กัมพูชา กันต่อไป ผลออกมาอย่างไร จะได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย
อัยการจังหวัดคุ้มครองสิทธิฯ สุรินทร์ รายงานผมตลอด โดยจะช่วยดูแล ให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่ละเมิดอนุสัญญาคุ้มครองเด็ก หรือกฎหมายคุ้มครองเด็กของไทย ขอให้ทุกฝ่าย สบายใจ และอย่าให้เป็นประเด็นทางสังคมกันเลยครับ ไทยเคารพกฎหมาย ปฏิบัติตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ จึงต้องแก้ปัญหาด้วยกฎหมาย เพราะ ประเทศไทยไม่ใช่บ้าน ที่เราจะสามารถ ย้ายบ้านหนีจากเพื่อนบ้านที่เราไม่พอใจได้
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





