บิ๊กก้อง แถลงทลายแก๊งคอลฯ หลอกคนออสเตรเลีย สูญ 40 ล้าน
บิ๊กก้อง ร่วม AFP เปิดปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับกุมชาวต่างชาติ 13 ราย เสียหาย 40 ล้าน
วันนี้ (17 มิ.ย 68) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)-17 มิถุนายน 2568 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พร้อมด้วยMs.Kristie -Lee Cressy Senior Officer เจ้าหน้าที่ Australia Federal Police (AFP) และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ร่วมกันแถลงผลปฏิบัติการ Firestorm ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จับกุมชาวต่างชาติ 13 ราย ประกอบด้วยสัญชาติออสเตรเลีย 5 ราย, บริติช 6 ราย, แคนนาดา 1 ราย, แอฟริกาใต้ 1 ราย พร้อมของกลางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเอกสาร
อาทิ คอมพิวเตอร์, อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค, โน๊ตบุ๊ค, สคริปการพูดชักชวนลงทุน และโทรศัพท์มือถือ รวม 58 รายการ ในข้อหาอั้งยี่, เป็นคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวประกอบอาชีพหรือรับจ้างทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน โดยจับกุมได้ที่บ้านพัก หมู่ 9 ตำบลบางพลีใหญ่ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ โดยผู้เสียหายทั้งหมดเป็นชาวออสเตรเลีย จำนวนกว่า 14,000 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 40 ล้านบาท
พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุในคดีนี้เจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย ได้ทำการสืบสวนพบ กลุ่มบุคคลซึ่งเป็นขบวนการกระทำความผิดหลอกลวงประชาชนในประเทศออสเตรเลียได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาในประเทศไทย และจัดตั้ง Boiler room หรือ คอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทยเพื่อหลอกลวงประชาชนชาวออสเตรเลียให้ร่วมลงทุนพันธบัตรโดยให้ผลตอบแทนสูงและกำหนดระยะเวลาในการคืนทุนเป็นระยะเวลา ประมาณ 1-3 ปี ให้ผลตอบแทนแบบคงที่ ร้อยละ 7-10 ต่อปี จึงได้ขอความร่วมมือมายังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมและได้ร่วมกันทำการสืบสวนในเรื่องดังกล่าว ทั้งนี้แก๊งนี้มีการทำมาแล้ว 20 ปี ได้จับกุมครั้งล่าสุดได้ที่ประเทศอินโดนีเซีย ก่อนที่หัวหน้าแก๊งที่เป็นชาวอังกฤษและออสเตรเลีย จะหลบหนีมายังประเทศไทย
จากการตรวจสอบและติดตามพฤติกรรมของขบวนการดังกล่าวพบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าว ได้เข้ามาอยู่ที่พัทยาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 และต่อมาได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพมหานคร โดยตัวการหลัก ได้มีการนัดพบที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บน ถ.เฉลิมพระเกียรติ ร.9 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ กรุงเทพฯ ภายหลังจึงได้สะกดรอยติดตามดูพฤติกรรมของกลุ่มขบวนการดังกล่าวจนพบว่า กลุ่มบุคคลดังกล่าวได้เดินทางไปยังบ้านพัก ใน จ.สมุทรปราการ จึงได้ตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีการลงประกาศขายในราคา 70 ล้านบาท หรือให้เช่าเดือนละ 120,000 บาท โดยมีประกาศพร้อมผู้เช่าถึงเดือน ม.ค.69 พื้นที่ ดังกล่าวมีขนาดประมาณ 1 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด บริเวณหน้าบ้านเป็นซอยตัน ซึ่งเป็นบ้านหลังสุดท้ายในซอย หน้าบ้านมีกล้องวงจรปิดจำนวน 1 ตัว โรงจอดรถมีผ้าใบกั้น และมีคนเปิด-ปิด ผ้าใบ ขณะรถเข้า-ออกจากบ้านหลังดังกล่าว
จากการเฝ้าสังเกตการณ์บ้านพักหลังดังกล่าวพบว่า มีรถเข้าตั้งแต่เวลาประมาณ 05.00 น. และ จะออกในเวลาประมาณ 15.30 น. ซึ่งตรงกับเวลาทำงานเมืองซิดนีย์ คือ 09.00 เลิก 18.00 พบรถยนต์เข้า- ออกบ้านหลังดังกล่าวหลายคัน มีพฤติการณ์คือช่วงเวลาประมาณ 05.00 น. ขณะที่รถยนต์จำนวน 4 คัน ขับเข้ามาในบ้านจะมีคนดูแลบ้านคอยเปิดม่านโรงจอดรถ เมื่อรถเข้ามาจอดภายในโรงจอดรถแล้ว จะทำการปิดม่านลงเพื่อไม่ให้เห็นคนในรถ หลังจากนั้นเวลาประมาณ 15.30 น. เมื่อรถต้องการจะออกจากบ้าน คนดูแล บ้านจะทำการเปิดม่านให้รถยนต์ทยอยออก และปิดม่านไว้ตามเดิมในลักษณะปกปิดพฤติกรรมของผู้พักอาศัย และผู้เข้า-ออกบ้านหลังดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้ศาลอาญาออกหมายค้น เพื่อเข้าตรวจค้นบ้านพัก ม.9 ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ต่อมาวันที่ 16 มิ.ย.68 เวลาประมาณ 08.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้เข้าตรวจค้น พบชาวต่างชาตินั่งอยู่ภายในห้องโถงชั้น 1 ของบ้านในลักษณะมีแผงกั้นระหว่างบุคคลคล้ายสำนักงาน ขณะเข้าทำการตรวจค้นผู้ต้องหาได้อยู่ในลักษณะกำลังโทรศัพท์อยู่ทุกโต๊ะ มีเครื่องคอมพิวเตอร์, โน๊ตบุ๊ค, โทรศัพท์มือถือ, เอกสารข้อความต่างๆ, สคริปการพูดคุย, เอกสารที่ปรากฏข้อความเกี่ยวกับข้อมูลบริษัทฯ และพันธบัตรที่ขบวนการดังกล่าวชักชวนลงทุน ซึ่งอ้างว่ามีบริษัทฯ อยู่จริงในต่างประเทศ
และภายในคอมพิวเตอร์พบข้อมูลรายชื่อบุคคลชาวออสเตรเลียอีกกว่า 14,000 ราย ซึ่งขณะนี้สำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลียอยู่ระหว่างตรวจสอบ โดยมีการยืนยันแล้วว่ารายชื่อบางส่วนถูกขบวนการดังกล่าวหลอกลวงจริง จากการตรวจสอบในเบื้องต้น พบความเสียหายมากกว่า 2 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือกว่า 40 ล้านบาท
เบื้องต้น กลุ่มผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ และให้การว่ามีเพื่อนชักชวนและพบเห็นประกาศหางานผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อเข้ามาทำงานที่บริษัทแห่งนี้ โดยมีค่าตอบแทนประมาณ 3,000 เหรียญออสเตรเลีย และมีค่าคอมมิชชั่นร้อยละ 2.5 จากการทำงาน มีหน้าที่ทำงานโทรชักชวนลูกค้าให้มาร่วม ลงทุนกับบริษัทฯ โดยโทรชักชวนรายชื่อตามที่ได้รับจากบริษัทฯ เพื่อลงทุน โดยมีMr.Mark Dennis อายุ 54 ปี สัญชาติออสเตรเลียและMr.Mark Andrew Howship อายุ 56 ปี สัญชาติ บริติช เป็นหัวหน้าขบวนการ
ติดตามเนื้อหาดีๆแบบนี้ได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/innnews.co.th
Twitter : https://twitter.com/innnews
Youtube : https://www.youtube.com/c/INNNEWS_INN
TikTok : https://www.tiktok.com/@inn_news
LINE Official Account : @innnews





