งูสวัด เกิดจากอะไร? ทำไมคนแข็งแรงก็เป็นได้ เช็กสาเหตุให้ชัด รักษาง่ายขึ้น
เวลาได้ยินคำว่า “งูสวัด” หลายคนมักคิดว่าเป็นโรคของคนแก่ หรือโรคที่เกิดกับคนร่างกายอ่อนแอเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย เพราะแม้แต่คนที่ดูแข็งแรงดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็น็อกได้เหมือนกัน
โรคงูสวัดเป็นโรคที่เกี่ยวกับ “ไวรัสและภูมิคุ้มกัน” ของร่างกาย ซึ่งถ้าภูมิตกเมื่อไร เชื้อไวรัสที่หลบอยู่ก็พร้อมจะฟื้นคืนชีพทันที! วันนี้เราจะมาทำความรู้จักโรคงูสวัดให้ลึกขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ อาการ วิธีรักษา ไปจนถึงวิธีดูแลตัวเองให้หายไวและไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก
งูสวัดคืออะไร? รู้จักให้ชัดก่อนเข้าใจผิด
“งูสวัด” หรือชื่อทางการว่า Herpes Zoster เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เราเป็น “อีสุกอีใส” นั่นแหละ เชื้อไวรัสตัวนี้ชื่อว่า Varicella Zoster Virus (VZV)
หลังจากหายจากอีสุกอีใสแล้ว เชื้อไวรัสจะไม่หายไปจากร่างกาย แต่จะไปซ่อนตัวอยู่ใน “ปลายเส้นประสาท” ของเราแบบเงียบ ๆ เป็นปี ๆ และเมื่อถึงจังหวะที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น เครียด นอนดึก หรือร่างกายอ่อนเพลีย ซึ่งเจ้าไวรัสนี้จะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก่อให้เกิดงูสวัด
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร จะฟิตแค่ไหน ถ้าวันหนึ่งภูมิตกขึ้นมา ก็มีโอกาสโดนงูสวัดเล่นงานได้เหมือนกัน
งูสวัดเกิดจากอะไร? ทำไมคนแข็งแรงก็เป็นได้

งูสวัดไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อจากคนอื่นนะ แต่เกิดจาก “เชื้อไวรัสเดิม” ที่ซ่อนอยู่ในร่างกายเรานั่นเอง และปกติร่างกายจะมีกลไกคุมไวรัสให้อยู่เฉย ๆ แต่เมื่อภูมิคุ้มกันลดลง ระบบป้องกันนี้จะอ่อนกำลังลง ทำให้ไวรัส “วาริเซลลา ซอสเตอร์” กลับมาทำงานอีกครั้ง
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เชื้อไวรัสกลับมาทำงานได้อีก ได้แก่
-
ความเครียดสะสมเป็นเวลานาน
เมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่ง “ฮอร์โมนคอร์ติซอล” ออกมามากขึ้น ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้มีผลกดภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอ และไวรัสที่หลับอยู่มีโอกาสตื่นขึ้นมาได้ง่ายขึ้น ยิ่งเครียดสะสมบ่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว ยิ่งเพิ่มโอกาสเกิดงูสวัดได้
-
การนอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ
การนอนหลับคือช่วงเวลาที่ร่างกายฟื้นฟูระบบต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าอดนอนบ่อย หรือนอนหลับไม่ลึก ภูมิคุ้มกันจะอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ไวรัสงูสวัดฉวยโอกาสกลับมาทำงานได้ง่ายมาก
-
ป่วยหรือหลังผ่าตัดใหญ่
หลังเจ็บป่วยหรือผ่าตัด ร่างกายต้องใช้พลังในการฟื้นตัว ภูมิคุ้มกันจึงลดลงชั่วคราว บางคนเลยเกิดงูสวัดในช่วงพักฟื้น เพราะร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถกดไวรัสไว้ได้เหมือนเดิม
-
อายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะคนอายุเกิน 40 ปี
เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะค่อย ๆ เสื่อมลงตามธรรมชาติ ทำให้ควบคุมไวรัสได้ไม่ดีเหมือนตอนวัยรุ่น จึงพบว่างูสวัดมักเกิดในผู้ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะในวัย 50–70 ปี จะยิ่งมีความเสี่ยงสูง
-
การใช้ยากดภูมิ เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง
กลุ่มที่ต้องใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ยาหลังปลูกถ่ายอวัยวะ ยารักษาโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง (SLE, RA) หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น เบาหวาน หรือมะเร็ง ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอกว่าปกติอยู่แล้ว จึงมีโอกาสเกิดงูสวัดได้ง่ายและรุนแรงกว่าคนทั่วไป
งูสวัด โรคนี้ติดต่อไหม?
หลายคนยังเข้าใจผิดว่าโรคงูสวัด “ติดต่อได้” ซึ่งความจริงคือ ไม่ติดต่อโดยตรง แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อย คนที่ไม่เคยเป็น “อีสุกอีใส” มาก่อน ถ้าไปสัมผัสของเหลวจากตุ่มน้ำของผู้ป่วยงูสวัด อาจติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้ แต่จะไม่เป็นงูสวัด จะกลายเป็น “อีสุกอีใส” แทน พูดง่าย ๆ คือ งูสวัดไม่ได้ติดต่อกันง่าย ๆ เหมือนไข้หวัด เพียงแค่หลีกเลี่ยงการสัมผัสตุ่มน้ำโดยตรง ก็ปลอดภัยแล้ว
อาการงูสวัด สังเกตยังไง? ให้ทันก่อนลุกลาม
งูสวัดมีอาการเริ่มต้นที่คล้ายโรคผิวหนังทั่วไป แต่ถ้ารู้จักสัญญาณเตือนตั้งแต่ต้น จะช่วยให้รักษาได้เร็วขึ้น ซึ่งสัญญาณที่ควรสังเกต มีดังนี้
- รู้สึก แสบ ๆ ปวด ๆ เหมือนเข็มจิ้ม หรือไฟช็อต บริเวณผิวหนังบางส่วน
- 1–2 วันต่อมา จะเริ่มมี ผื่นแดงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท
- จากนั้นผื่นจะกลายเป็น ตุ่มน้ำใส ๆ เรียงตัวเป็นกลุ่ม คล้ายแผนที่งูเลื้อย
- เมื่อผ่านไปไม่กี่วัน ตุ่มน้ำจะแตกและกลายเป็นสะเก็ดแผล
- ส่วนใหญ่จะขึ้นข้างเดียวของร่างกาย เช่น เอว หน้าอก หลัง หรือใบหน้า

วิธีรักษางูสวัด ให้หายเร็ว ปลอดภัยที่สุด
การรักษางูสวัดต้องเริ่มเร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ ถึงจะช่วยลดความรุนแรงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ดี
-
ยาต้านไวรัส (Antiviral Drugs)
แพทย์มักสั่งยา Acyclovir, Valacyclovir หรือ Famciclovir เพื่อยับยั้งไวรัสและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น ยิ่งกินเร็วเท่าไร ยิ่งได้ผลดี
-
ยาแก้ปวดและยาทาภายนอก
ใช้เพื่อลดอาการแสบ คัน หรือปวดผิวหนัง เช่น ยาแก้ปวดพาราเซตามอล ยาแก้ปวดปลายประสาท หรือครีมลดการอักเสบ
-
การดูแลแผล
- ห้ามเกาหรือทำให้ตุ่มน้ำแตก
- ทำความสะอาดแผลเบา ๆ ด้วยน้ำเกลือ
- ใส่เสื้อผ้าหลวม ๆ เพื่อไม่ให้ระคายผิว
- พักผ่อนเยอะ ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
งูสวัดหายแล้วกลับมาเป็นซ้ำได้ไหม?
คำตอบคือได้ แต่ไม่บ่อยนักนะ แต่ถ้าบ่อยมักจะเกิดในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน มะเร็ง หรือผู้ที่ใช้ยากดภูมิ หากเคยเป็นงูสวัดมาแล้ว โอกาสกลับมาเป็นซ้ำจะอยู่ที่ประมาณ 5–10% เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ ปัจจุบันมี วัคซีนป้องกันงูสวัด ที่ช่วยลดความเสี่ยงได้กว่า 90% โดยเฉพาะในคนอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เคยเป็นงูสวัดมาก่อน
งูสวัดกับความเครียดและภูมิคุ้มกัน
ความเครียดถือเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นสำคัญของโรคงูสวัดเลยนะ เพราะเมื่อเราเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมน คอร์ติซอล (Cortisol) ออกมามาก ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้มีผลทำให้ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
ดังนั้น ต่อให้เป็นคนที่ดูแข็งแรงภายนอก แต่ถ้าเครียดสะสม นอนน้อย หรือทำงานหนักต่อเนื่อง ร่างกายก็จะอ่อนล้าจนระบบป้องกันโรคทำงานได้ไม่เต็มที่ สุดท้ายไวรัสที่เคยซ่อนอยู่ในร่างกายก็อาจถูกปลุกขึ้นมาได้ง่าย ๆพูดง่าย ๆ คือ ถ้าอยากให้ร่างกายแข็งแรงจากข้างใน ต้องดูแลใจไปพร้อมกันด้วย
เคล็ดลับเสริมภูมิคุ้มกันง่าย ๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงงูสวัด
-
นอนให้ครบ 7–8 ชั่วโมง
การนอน คือช่วงเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมเซลล์และฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกัน ถ้านอนไม่พอ ภูมิคุ้มกันจะลดลงโดยไม่รู้ตัว ลองปรับเวลาเข้านอนให้เร็วขึ้น และงดใช้มือถือก่อนนอนสัก 30 นาที จะช่วยให้นอนหลับลึกและคุณภาพดีขึ้นมาก
-
ออกกำลังกายเบา ๆ สัปดาห์ละ 3–4 วัน
ไม่จำเป็นต้องหักโหม แค่เดินเร็ว หรือเล่นโยคะ อาจว่ายน้ำเบา ๆ อย่างสม่ำเสมอ ก็ช่วยกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นได้ เพราะการออกกำลังกายช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี ร่างกายขับของเสียได้ง่าย และลดระดับฮอร์โมนความเครียดในตัวด้วย
-
กินอาหารครบ 5 หมู่ โดยเน้นผักผลไม้
ผักและผลไม้สีสด ยังไงก็อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน เช่น วิตามินซีจากส้ม ฝรั่ง หรือเบอร์รี่ รวมถึงสังกะสีและโปรตีนจากอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ถั่ว และธัญพืช ซึ่งล้วนมีส่วนช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและซ่อมแซมตัวเองได้
-
ดื่มน้ำมากพอ
น้ำคือสิ่งจำเป็นต่อทุกระบบในร่างกาย โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกัน การดื่มน้ำให้เพียงพอ หรือประมาณวันละ 6-8 แก้ว แน่นอนว่าจะช่วยให้ร่างกายขับของเสียได้ดี ผิวพรรณสดชื่น และลดโอกาสการอักเสบภายในร่างกายที่อาจกระตุ้นไวรัสได้
-
หาวิธีคลายเครียด
กิจกรรมผ่อนคลายเล็ก ๆ ช่วยให้จิตใจสงบและลดระดับความเครียดในสมองได้จริงค่ะ บางคนอาจชอบฟังเพลงเบา ๆ ทำอาหาร หรือเดินเล่นในสวนหลังเลิกงาน วิธีง่าย ๆ เหล่านี้ช่วยให้ร่างกายหลั่งสาร “เอ็นดอร์ฟิน” ที่ทำให้รู้สึกดี ซึ่งส่งผลโดยตรงให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นด้วย
เป็นงูสวัด ห้ามกินอะไรบ้าง?
อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นให้ไวรัสทำงานแรงขึ้น หรือทำให้แผลอักเสบช้าลง ควรหลีกเลี่ยงระหว่างที่ยังมีอาการ ซึ่งอาหารที่ควรเลี่ยง และต้องระวังระหว่างมีอาการ ควรงดดังนี้
-
ของทอด ของมัน
อาหารทอดและอาหารมันเยอะ ๆ เช่น ของทอดฟาสต์ฟู้ด ไก่ทอด หรือมันฝรั่งทอด ร่างกายต้องใช้พลังงานมากในการย่อย และไขมันสูงอาจทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานช้าลง ส่งผลให้ แผลจากงูสวัดหายช้ากว่าปกติ
-
อาหารรสจัด เค็มหรือหวานเกินไป
อาหารเผ็ดจัด เค็มจัด หรือหวานจัด เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม ซอสปรุงรสเยอะ ๆ อาจกระตุ้นให้การอักเสบภายในร่างกายรุนแรงขึ้น ทำให้ผื่นและแผลของงูสวัด เจ็บมากขึ้นหรือฟื้นตัวช้าลง
-
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แอลกอฮอล์ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง และยังทำให้ร่างกายขาดน้ำ ซึ่งจะทำให้ ผิวแห้งและแผลงูสวัดฟื้นตัวช้าลง นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังรบกวนการนอนพักผ่อน ทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่
-
อาหารทะเลในบางคนที่แพ้ง่าย
อาหารทะเลบางชนิด เช่น กุ้ง ปู หอย อาจทำให้ เกิดอาการแพ้ร่วมกับผื่นงูสวัด ในผู้ที่แพ้อาหารทะเลอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้ คันและอักเสบรุนแรงขึ้น ควรหลีกเลี่ยงจนกว่าจะหายดี
สรุป
โรคงูสวัดอาจไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สร้างความเจ็บแสบและทรมานไม่น้อย ยิ่งถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปวดปลายประสาทเรื้อรัง (Postherpetic Neuralgia) ที่จะทำให้ปวดจี๊ด ๆ ต่อเนื่องเป็นเดือน ๆ ได้
ดังนั้น ถ้ารู้สึกแสบผิว ผื่นแดงเป็นแนวยาว หรือมีตุ่มน้ำใสขึ้นข้างเดียวของร่างกาย อย่ารอให้ลาม รีบไปพบแพทย์เพื่อเริ่มยาต้านไวรัสให้ทันเวลา เพราะ ยิ่งรักษาเร็ว ยิ่งหายไว และลดรอยแผลได้มากที่สุด
สุดท้ายนี้อย่าลืมว่า แม้จะดูแข็งแรง แต่ถ้าร่างกายเหนื่อยล้าและจิตใจเครียดเกินไป ไวรัสที่หลับอยู่ก็พร้อมจะตื่นได้ทุกเมื่อ ดังนั้น ดูแลตัวเองทั้งกายและใจให้สมดุล แล้วงูสวัดจะกลายเป็นเรื่องไกลตัวแน่นอน





