Home
|
ไลฟ์สไตล์

ฝ้าเกิดจากอะไร? สาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง และวิธีรักษาอย่างปลอดภัย โดยแพทย์ผิวหนัง

Featured Image

หลายคนอาจสังเกตว่าบริเวณใบหน้าเริ่มมีจุดหรือแถบสีน้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก หรือเหนือริมฝีปาก แล้วก็เริ่มสงสัยว่า “นี่คือฝ้าหรือเปล่า?” และ “มันเกิดจากอะไรกันแน่?”

 

บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่า ฝ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร อะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นให้ฝ้าชัดเจนขึ้น ทั้งจากแสงแดด ฮอร์โมน หรือแม้แต่พฤติกรรมประจำวัน พร้อมทั้งแนะนำแนวทางการดูแลผิวและรักษาฝ้าอย่างปลอดภัย ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย เหมือนได้ฟังคำแนะนำจากคุณหมอผิวหนังโดยตรง

 

ฝ้าเกิดจากอะไร? เข้าใจผิว เปลี่ยนวิธีดูแลก่อนที่ฝ้าจะลุกลาม

ฝ้าอาจเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ที่เรามองข้าม จนกลายเป็นปัญหาที่กระทบทั้งความมั่นใจและสุขภาพผิว

การทำความเข้าใจสาเหตุของฝ้าอย่างแท้จริง คือก้าวแรกของการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและตรงจุด

 

ฝ้าเกิดจากการทำงานผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ที่ผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้ผิวบริเวณนั้นเข้มกว่าส่วนอื่นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปัจจัยกระตุ้นหลัก ๆ เช่น แสงแดด ฮอร์โมน ความร้อน มลภาวะ ความเครียด หรือแม้แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว ซึ่งล้วนมีส่วนผลักให้ฝ้าเกิดเร็วและชัดขึ้น

 

ฝ้าคืออะไร? จุดด่างคล้ำที่ไม่ได้ส่งผลลบแค่เรื่องความสวยงาม

ฝ้า (Melasma หรือ Chloasma) คือภาวะที่ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไป ทำให้เกิดรอยคล้ำบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก หรือเหนือริมฝีปาก
รอยฝ้ามักมีสีเทา-น้ำตาล ขอบไม่ชัด ดูเหมือนเงาคล้ำ ๆ บนผิว และมักปรากฏแบบสมมาตรทั้งสองข้างของใบหน้า

ฝ้ามักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะในช่วงวัย 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงตั้งครรภ์ การรับประทานยาคุมกำเนิด หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน รวมถึงการสะสมแสงแดดอย่างต่อเนื่องในชีวิตประจำวันก็ยิ่งกระตุ้นให้เม็ดสีทำงานมากขึ้น

แม้ฝ้าจะไม่ใช่โรคติดต่อหรืออันตรายร้ายแรงทางสุขภาพ แต่ก็ส่งผลต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตอย่างมาก ดังนั้นการรู้เท่าทันฝ้าตั้งแต่ต้น จึงเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยในการดูแลผิวให้แข็งแรงและสดใสในระยะยาว

 

รู้ทันสาเหตุของฝ้า เข้าใจให้ลึก เพื่อดูแลได้ตรงจุด

เพราะสาเหตุการเกิดฝ้ามีได้หลายประการ และไม่ได้มาจากแสงแดดเพียงอย่างเดียว ดังนั้นก่อนจะเริ่มเข้าสู่การรักษา ควรตรวจสอบพฤติกรรมการใช้ชีวิตในแต่ละวัน รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้ เพื่อหาต้นตอและวางแผนดูแลอย่างตรงจุด

แสง UV และความร้อน

เพราะแสง UV หรือ รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้างเมลานินเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งเมลานินคือเม็ดสีผิวตามธรรมชาติ เมื่อร่างกายผลิตเมลานินมากผิดปกติจากการกระตุ้นด้วยรังสี UV หรือความร้อนสะสม ก็อาจทำให้เกิดจุดฝ้าหรือปื้นสีเข้มบนผิวได้ โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแดดบ่อย เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก หรือจมูก

ฮอร์โมน

เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด หรือแม้แต่การรับประทานฮอร์โมนเสริมบางชนิด ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่ไม่สมดุล อาจกระตุ้นให้เมลานินในผิวทำงานมากขึ้นจนกลายเป็นฝ้าได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงวัยเจริญพันธุ์หรือช่วงที่ร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน

พันธุกรรม

หากคนในครอบครัวมีปัญหาฝ้า เช่น พ่อแม่หรือพี่น้อง ก็มีแนวโน้มที่เราจะเป็นฝ้าได้เช่นกัน เนื่องจากยีนที่ควบคุมการผลิตเมลานินอาจส่งต่อกันทางกรรมพันธุ์ได้ แม้จะดูแลผิวดีแค่ไหน ก็อาจต้องใช้วิธีการดูแลและป้องกันที่เหมาะสมเป็นพิเศษเพิ่มขึ้นไปอีก

ผลิตภัณฑ์ระคายเคืองผิว

เช่น ครีมบำรุง น้ำหอม หรือเครื่องสำอางบางชนิด โดยเฉพาะที่มีแอลกอฮอล์หรือสารเร่งผิวขาว อาจทำให้ผิวไวต่อแดดโดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้เม็ดสีผิดปกติสะสมเร็วขึ้นและกลายเป็นฝ้าได้ง่ายกว่าปกติ

ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

ตัวการที่หลายคนมองข้าม ก็คือ ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับไม่เพียงพอ ที่อาจส่งผลต่อการทำงานของต่อมไร้ท่อและฮอร์โมน ทำให้สมดุลร่างกายเสียหาย รวมถึงส่งผลต่อกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ จึงอาจทำให้ฝ้าเข้มขึ้นและรักษายากขึ้น

 

ฝ้าแบบไหนที่คุณเป็นอยู่? รู้จักชนิดของฝ้าเพื่อการดูแลที่ตรงทาง

การรู้ชนิดของฝ้าที่ตัวเองเป็นอยู่ ช่วยให้แพทย์วางแนวทางการรักษาได้เหมาะสม และยังช่วยให้เราเลือกวิธีดูแลได้ตรงจุดมากขึ้น ฝ้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิดหลัก ดังนี้

ฝ้าตื้น

เกิดในชั้นหนังกำพร้า ลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้ม ขอบชัดเจน มักตอบสนองต่อการรักษาได้ดี โดยเฉพาะครีมลดฝ้าหรือเวชสำอางที่ช่วยยับยั้งการผลิตเมลานิน

ฝ้าลึก

เกิดในชั้นหนังแท้ สีออกเทาอมม่วง ขอบเขตไม่ชัด และมักรักษายากกว่า อาจต้องอาศัยการรักษาในระดับลึก เช่น เลเซอร์เฉพาะทาง หรือทรีตเมนต์ควบคู่กับครีมบำรุง

ฝ้าผสม

พบได้บ่อยที่สุด เป็นลักษณะของฝ้าตื้นและฝ้าลึกรวมกันในบริเวณเดียวกัน ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างละเอียด โดยใช้หลายวิธีควบคู่กัน

 

วิธีดูแลรักษาฝ้า เริ่มจากความเข้าใจผิวและการดูแลแบบองค์รวม

ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดในเวลาอันสั้น แต่สามารถจางลงได้อย่างเห็นผล หากดูแลอย่างถูกวิธีและต่อเนื่อง

ทาครีมกันแดดทุกวัน

เลือกแบบที่มี SPF 50+ PA+++ เพื่อป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB และควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง หากต้องออกกลางแจ้งบ่อย ๆ

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงที่อ่อนโยน

แนะนำให้คนที่เป็นฝ้า หรือใครที่ไม่อยากให้ผิวเกิดฝ้า ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหอม หรือสารผลัดเซลล์รุนแรง

พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด

ร่างกายคนเราควรได้มีเวลานอนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ระบบฮอร์โมนทำงานสมดุล

ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

อาการที่มีสารช่วยดูแลผิวไม่ให้เกิดฝ้าได้ง่าย เช่น เบต้าแคโรทีนในแครอท วิตามินซีในผลไม้รสเปรี้ยว และวิตามินอีจากถั่วและอะโวคาโด

ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ครีมหรือเลเซอร์

โดยเฉพาะเมื่อฝ้าเข้ม รักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น หรือไม่แน่ใจว่าฝ้าแบบใด

 

วิธีที่แพทย์เลือกใช้ในการรักษาฝ้า

การรักษาฝ้าโดยแพทย์ผิวหนัง ขึ้นอยู่กับชนิดของฝ้าและสภาพผิวของแต่ละคน วิธีที่แพทย์มักใช้ ได้แก่

ยาทาฝ้าเฉพาะที่

เช่น Hydroquinone, Azelaic acid, Tranexamic acid หรือ Retinoid เพื่อยับยั้งเม็ดสีและผลัดเซลล์ผิว

เลเซอร์รักษาฝ้า

เช่น Q-switched Nd:YAG, Fractional laser หรือ Pico laser เพื่อช่วยลดเม็ดสีในชั้นผิวลึก ซึ่งสามารถเลือกใช้บริการได้ทั้งคลินิกเสริมความงาม และโรงพยาบาลด้านผิวหนังโดยเฉพาะ

ทรีตเมนต์

เช่น ไอออนโต (Ionto) หรือการทำโฟโน (Phono) สามารถช่วยผลักตัวยาเข้าสู่ผิวและค่อยๆ ปรับผิวให้สว่าง ฝ้าดูจางลงได้อย่างปลอดภัย

การรับประทานยา

ในบางรายที่จำเป็นต้องใช้ยากินที่ใช้เพื่อบรรเทาฝ้า  เช่น Tranexamic acid แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์

การใช้เวชสำอางทางการแพทย์

เวชสำอาง (Cosmeceuticals) ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อลดเม็ดสีอย่างปลอดภัย ซึ่งปัจจุบันมีให้เลือกใช้หลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องระวังก่อนใช้คือ ต้องดูแหล่งที่มา และมีอย.การันตีเท่านั้น ควบคู่กับปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้ทุกครั้ง

 

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ผิวหนัง? ฝ้าบางกรณีอาจต้องการการดูแลเฉพาะทาง

หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรพิจารณาพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อหาแนวทางการรักษาฝ้าอย่างถูกวิธี โดยไม่เสี่ยงทำให้ผิวพังจากการพยายามรักษาด้วยตัวเอง

  • ฝ้าเข้มขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มกระจายไปยังตำแหน่งอื่น ๆ
  • ใช้ครีมหรือวิธีดูแลทั่วไปแล้วไม่ได้ผล
  • ผิวมีอาการแสบ คัน หรือระคายเคืองร่วมด้วย
  • ต้องการวางแผนการรักษาให้หายแบบระยะยาว เช่น การใช้เลเซอร์หรือเวชสำอางทางการแพทย์

สุดท้ายนี้และอย่าลืมว่า “ผิวที่เป็นฝ้า” หากได้พบแพทย์เร็ว จะช่วยให้ฝ้าไม่ลุกลาม และช่วยฟื้นฟูผิวได้เร็วขึ้นด้วย

คำถามที่คุณหมอพบบ่อยจากคนที่เป็นฝ้า

Q: ฝ้าเป็นแล้วจะหายขาดไหม?

A: ฝ้ามักไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมให้อาการจางลงได้ และไม่กลับมาเป็นซ้ำ หากดูแลผิวและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอย่างเหมาะสม

 

Q: ฝ้ากับกระ ต่างกันอย่างไร?

A: ฝ้ามักเป็นปื้นใหญ่ มีขนาดไม่เท่ากัน ส่วนกระมักเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายทั่ว และเกิดจากพันธุกรรมมากกว่า

 

Q: ทาครีมกันแดดอย่างเดียวพอไหม?

A: การทาครีมกันแดดเป็นสิ่งจำเป็น แต่หากฝ้าชัดเจนแล้ว ควรร่วมกับการใช้ครีมบำรุงหรือเข้ารับการรักษาเฉพาะทางด้วย

 

Q: ฝ้ารักษาด้วยวิธีธรรมชาติได้ไหม?

A: บางวิธีอาจช่วยได้ในระยะเริ่มต้น เช่น การใช้ว่านหางจระเข้ หรือมะเขือเทศ แต่ไม่ควรใช้สูตร DIY ที่รุนแรง เพราะอาจทำให้ผิวแสบ ลอก หรือไวต่อแดดมากขึ้น

สรุป

ฝ้าอาจไม่ใช่เรื่องอันตรายทางสุขภาพโดยตรง แต่ส่งผลอย่างมากต่อความมั่นใจของหลาย ๆ คน

การเข้าใจ สาเหตุของฝ้า และการดูแลแบบเข้าใจผิวตัวเองอย่างแท้จริง คือทางออกที่ดีที่สุดในระยะยาว

หากเริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติ อย่ารอให้ฝ้าลุกลาม ควรให้การดูแลผิวของคุณเริ่มต้นจากความเข้าใจและความใส่ใจจากภายในตั้งแต่เนิ่น ๆ จะดีที่สุด และหากต้องเผชิญกับฝ้าก็อย่าปล่อยให้เป็นมากขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพื่อรักษาและได้แนวทางการป้องกันอย่างเหมาะสมที่สุด

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube