เจอสิวอักเสบไม่ต้องตกใจ แค่เข้าใจสาเหตุ ใช้วิธีรักษาให้ถูกทาง
ขึ้นชื่อว่า “สิวอักเสบ” หลายคนอาจเริ่มกังวล ทั้งเรื่องความเจ็บ บวม แดง หรือรอยดำที่อาจตามมา แต่จริง ๆ แล้ว สิวอักเสบเป็นปัญหาผิวที่สามารถจัดการได้ ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกหรือรู้สึกแย่กับตัวเอง แค่เราเข้าใจสาเหตุ เลือกวิธีรักษาที่เหมาะกับสภาพผิว และดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและสม่ำเสมอ เมื่อเรารู้วิธีรับมืออย่างถูกต้อง สิวอักเสบก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่จำเป็นต้องมากวนใจผิวสวย ๆ ของเราอีกต่อไป
สิวอักเสบคืออะไร? เข้าใจง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน
สิวอักเสบ คือสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการอักเสบใต้ผิวหนัง ซึ่งมักมีสาเหตุจากแบคทีเรีย ความมันส่วนเกินหรือการระคายเคืองต่าง ๆ บนผิวหน้า ที่เมื่อรูขุมขนอุดตันและมีแบคทีเรียสะสม ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ ทำให้เกิดอาการบวม แดง เจ็บ และอาจมีหนองร่วมด้วยในบางกรณี
สิวลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากความสกปรกหรือการดูแลผิวไม่ดีเสมอไป แต่อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายอย่างและไม่ได้ขึ้นแค่เฉพาะใบหน้านะ แถมร่างกายคนเราเป็นสิวอักเสบได้หลายตำแหน่ง เช่น คอ เนินอก แผ่นหลัง ไหล่ ก้น เป็นต้น
สาเหตุเกิดสิวอักเสบ มีอะไรบ้างที่ควรรู้?

สิวอักเสบไม่ได้เกิดเพราะสิ่งสกปรกเพียงอย่างเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันเกิดจากหลายปัจจัย ที่บางทีก็อยู่นอกเหนือการควบคุมของเรา ดังนั้นถ้าเข้าใจสาเหตุเหล่านี้ จะช่วยให้เราดูแลผิวได้ตรงจุดมากขึ้น
1.ความมันส่วนเกินบนผิว
เมื่อผิวผลิตน้ำมันมากเกินไป จะไปผสมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและอุดตันรูขุมขน เป็นจุดเริ่มต้นของสิวอักเสบได้ง่าย
2.การสะสมของแบคทีเรีย
แบคทีเรีย โดยเฉพาะชนิดที่โตช้าและทนต่ออากาศอย่าง (Cutibacterium Acnes) จะค่อยๆ เติบโตในรูขุมขนที่อุดตัน และกระตุ้นให้เกิดการอักเสบจนกลายเป็นสิวที่บวมแดง
3.เซลล์ผิวเก่าที่ควรถูกผลัดออก (Dead skin cells)
โดยปกติแล้วเซลล์ผิวคนเราเมื่อเก่าแล้วจะถูกผลัดออกเรื่อย ๆ ตามธรรมชาติ แต่ถ้าถูกสะสมในรูขุมขน ก็จะทำให้เกิดการอุดตัน และเป็นสิวอักเสบได้ในที่สุด
4.ฮอร์โมน
โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นหรือก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนที่แปรปรวนมีผลต่อการผลิตน้ำมันใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวได้มากขึ้น
5.ความเครียด
แม้จะไม่ได้ทำให้สิวเกิดขึ้นโดยตรง แต่ความเครียดสามารถกระตุ้นฮอร์โมนบางชนิดที่มีผลทำให้ผิวมัน รูขุมขนอุดตัน และทำให้สิวอักเสบลุกลามหรือหายช้ากว่าเดิม
6.การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว
เครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อุดตันรูขุมขน หรือมีส่วนผสมที่ระคายเคือง อาจกระตุ้นให้สิวอักเสบแย่ลงได้
7.พฤติกรรมที่ทำร้ายผิวโดยไม่รู้ตัว
การล้างหน้าบ่อยเกินไป การขัดถูแรง ๆ หรือการบีบสิว อาจทำให้การอักเสบลุกลาม และทิ้งรอยไว้ได้ในระยะยาว
ประเภทของสิวอักเสบ แยกให้ออกจะได้ดูแลได้ตรงจุด
สิวอักเสบสามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภท ขึ้นอยู่กับระยะความรุนแรง ซึ่งแบ่งจากระดับน้อยไปมาก ได้ดังนี้
1.สิวตุ่มแดง (Papules)
เป็นสิวอักเสบไม่มีหัว แต่มีสีแดงและเมื่อสัมผัสหรือกดจะรู้สึกเจ็บ มักพัฒนามาจากสิวอุดตันทั่วไป ที่เกิดการสะสม ติดเชื้อแบคทีเรียจนกลายเป็นอาการอักเสบรุนแรงขึ้น
2.สิวหัวหนอง (Pustules)
เป็นสิวอักเสบที่มีทั้งขนาดเล็กและใหญ่ มีหัวสีขาวหรือเหลืองตรงกลาง ซึ่งก็คือน้ำหนองที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้วจากการพยายามต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย
3.สิวหัวช้าง (Nodules)
เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง มีลักษณะก้อนแข็งขนาดใหญ่ไม่มีหัว ลึกลงไปใต้ผิวหนัง และสร้างความเจ็บปวดมาก มักเกิดขึ้นบริเวณที่มีเหงื่ออุดตันรูขุมขนได้ง่าย ต่าง ๆ บนใบหน้า หลัง และหน้าอก
4.สิวซีสต์ (Cystic acne)
สิวอักเสบที่ลึกและมีหนองเยอะมาก หรือบางทีอักเสบจนมีเลือดปน เกิดจากเม็ดสิวหลายหัวกระจุกรวมตัวกัน จนสร้างเป็นโพรงรังใหญ่ หากปล่อยทิ้งไว้ หรือได้รับการรักษาไม่ถูกวิธี มักจะลุกลามเป็นสิวเรื้อรัง และทิ้งรอยแผลเป็นได้
วิธีรักษาสิวอักเสบแบบปลอดภัย ได้ผลจริง

การรักษาสิวอักเสบไม่จำเป็นต้องเจ็บตัว หรือใช้วิธีที่รุนแรงเสมอไป ถ้าเราเข้าใจต้นตอของปัญหา และเลือกวิธีที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ก็สามารถจัดการกับสิวอักเสบได้อย่างปลอดภัย และเห็นผลจริง อย่าง 3 วิธีรักษาสิวอักเสบ ดังต่อไปนี้
1.ยาทาสิวอักเสบ
ยาทาสิวเป็นตัวช่วยพื้นฐานที่ใช้ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรียในบริเวณที่เป็นสิว สามารถปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป โดยยาทาสิวอักเสบที่ใช้บ่อย เช่น
-
Benzoyl Peroxide
ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและช่วยผลัดเซลล์ผิว
-
Clindamycin
เป็นยาปฏิชีวนะในรูปแบบเจลหรือน้ำยา ช่วยลดการอักเสบเฉพาะจุด
-
ยาทา Retinoids (วิตามินเอ)
ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่
2.ยารักษาสิวอักเสบแบบกิน
ถ้าสิวอักเสบรุนแรงหรือขึ้นในบริเวณกว้าง เภสัชกรหรือผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำให้ใช้ยารับประทานร่วมด้วย เช่น
-
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
เช่น Doxycycline หรือ Minocycline ช่วยลดการอักเสบและยับยั้งแบคทีเรีย
-
ยาคุมกำเนิด (สำหรับผู้หญิง)
ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนเพื่อลดการเกิดสิวในกรณีที่สิวเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
3.รักษาสิวอักเสบกับหมอผิวหนัง
การรักษาสิวอักเสบกับแพทย์ผิวหนัง ถือเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและได้ผลดี โดยเฉพาะในกรณีที่สิวลุกลาม เจ็บ บวม หรือรักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น โดยแพทย์จะประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด ตรวจหาเชื้อสิวและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ซึ่งอาจรวมถึงการใช้ยาและหัตถการต่าง ๆ ดังนี้
-
ฉีดสิว (Acne Injection)
ใช้ในกรณีที่สิวอักเสบมีขนาดใหญ่ สร้างความเจ็บปวดและบวมมาก เช่น สิวหัวช้างหรือลึกใต้ผิว ด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ช่วยลดอาการอักเสบอย่างรวดเร็วใน 1–2 วัน
-
กดสิวอักเสบอย่างถูกวิธี (Comedone Extraction)
การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ ช่วยลดการอุดตันและป้องกันไม่ให้สิวลุกลาม แต่ต้องทำด้วยเครื่องมือปลอดเชื้อและเทคนิคเฉพาะ เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อและทิ้งรอยแผลเป็น
-
บำบัดผิวด้วยทรีตเมนต์ เพื่อลดการอักเสบ
เช่น Laser, IPL, หรือ LED Light Therapy วิธีเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบของผิว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และกระตุ้นการฟื้นฟูผิวแบบอ่อนโยน เหมาะกับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงยา หรือใช้ร่วมกับการรักษาอื่น
-
เลเซอร์รักษาสิว (Acne Laser)
ใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อช่วยลดความมันใต้ผิว ฆ่าเชื้อ และลดรอยแดงจากสิวอักเสบ วิธีนี้ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์และมักใช้ควบคู่กับการรักษาแบบอื่น
-
ผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ (Peeling)
ใช้กรดอ่อน ๆ เช่น AHA หรือ BHA เพื่อผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และทำให้สิวอักเสบแห้งเร็วขึ้น
การดูแลผิวระหว่างเป็นสิวอักเสบ ควรทำหรือหลีกเลี่ยงอะไร?

ช่วงที่เป็นสิวอักเสบ หลายคนอาจรู้สึกกังวล ไม่มั่นใจ หรือพยายามหาทางรักษาให้หายไวที่สุด แต่จริง ๆ แล้ว การดูแลผิวในช่วงนี้ควรเน้น “ความอ่อนโยน” และ “สม่ำเสมอ” มากกว่าการเร่งให้สิวหายเร็ว มาดูกันว่าอะไรที่ควรทำและอะไรที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวอย่างปลอดภัย
สิ่งที่ควรทำ
- ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)
- ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวตามคำแนะนำของแพทย์หรือฉลากที่ระบุไว้อย่างเคร่งครัด
- เติมความชุ่มชื้นให้ผิว แม้จะเป็นผิวมัน ด้วยมอยส์เจอไรเซอร์สูตรไม่มีน้ำมัน (Oil-Free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comedogenic)
- ทาครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวเป็นสิวโดยเฉพาะเป็นประจำ
- เปลี่ยนปลอกหมอน-ผ้าเช็ดหน้า เป็นประจำ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
- ห้ามบีบ แกะ หรือเกาสิว เพื่อไม่ให้สิวอักเสบและรุนแรงกว่าเดิม
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว เช่น สครับแรง ๆ หรือโทนเนอร์ที่ผสมแอลกอฮอล์สูง
- อย่าเปลี่ยนสกินแคร์บ่อยเกินไป อาจทำให้ผิวแพ้ง่าย
- อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือใช้สบู่แรง ๆ เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียสมดุล และไปกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้น
เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง? สัญญาณที่ไม่ควรมองข้าม
ชวนมาเช็กอาการที่ควรพบแพทย์ผิวหนัง เมื่อกำลังเผชิญกับปัญหาสิวอักเสบ ใครเป็นแบบนี้บ้าง แนะนำให้หาหมอจะดีที่สุด
1.สิวอักเสบรุนแรงหรือมีแนวโน้มลุกลาม
เช่น มีสิวขนาดใหญ่จำนวนมาก เจ็บลึกใต้ผิวหนัง หรือกระจายทั่วใบหน้า คาง กราม แผ่นหลัง หรือหน้าอก หากปล่อยไว้อาจเสี่ยงทิ้งรอยดำหรือหลุมสิวได้ในอนาคต
2.รักษาด้วยตนเองมาสักพักแล้ว แต่ไม่ดีขึ้น
ลองใช้ยาทา หรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมาแล้วหลายตัว แต่สิวยังไม่ลดลง หรือกลับแย่ลง
3.สิวส่งผลต่อสุขภาพจิตหรือความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
หากรู้สึกไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่อยากถ่ายรูป หรือเครียดกับผิวหน้าตัวเองอยู่บ่อย ๆ นี่ก็เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
4.มีอาการแพ้ หรือผิวลอกจากยาที่ใช้อยู่
ยารักษาสิวบางชนิดอาจแรงเกินไปสำหรับบางสภาพผิว หากเริ่มมีอาการแสบ บวมแดง แห้งลอก ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์ทันที
5.มีแนวโน้มว่าสิวอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน
เช่น สิวขึ้นเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน สิวขึ้นตามแนวกราม หรือมีอาการอื่นร่วม เช่น รอบเดือนมาไม่ปกติ
สรุป แนวทางดูแลสิวอักเสบแบบเข้าใจง่ายและไม่กดดันตัวเอง
สิวอักเสบอาจดูน่ากังวล แต่หากเข้าใจสาเหตุและเลือกวิธีดูแลผิวอย่างเหมาะสม ก็สามารถรักษาได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องทนเจ็บตัวนาน ไม่ต้องเครียดจนขาดความมั่นใจเกินไป เพียงดูแลผิวอย่างอ่อนโยนอย่างสม่ำเสมอ และหากจำเป็น อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะผิวที่ดี เริ่มต้นจากความเข้าใจ รักษาใจเย็นก่อนเสมอ





