Home
|
ไลฟ์สไตล์

กฎหมายโดรนในประเทศไทย: สิ่งที่มือใหม่ต้องรู้ก่อนบิน

Featured Image
ในช่วงปีที่ผ่านมา “โดรน” กลับมาเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยอีกครั้ง หลังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน ซึ่งมีรายงานว่ามีการใช้โดรนเพื่อสอดแนมและเก็บข้อมูลด้านความมั่นคง ทำให้ภาครัฐต้องออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีประกาศ งดบินโดรนทั่วประเทศชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้โดรนถูกนำไปใช้ในทางที่อาจก่อความเสียหาย ส่งผลให้ผู้ใช้งานทั่วไปและครีเอเตอร์จำนวนมากต้องหยุดกิจกรรมไว้ก่อน
เมื่อเข้าสู่เดือนกันยายน มาตรการห้ามบินได้ถูก “ผ่อนคลายลง” โดยอนุญาตให้ใช้งานโดรนได้ภายใต้กฎหมายเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้สังคมและหน่วยงานรัฐได้หันมา จับตาอย่างใกล้ชิดมากขึ้น โดยผู้ใช้งานจะต้องได้รับใบอนุญาติก่อน ผู้จำหน่ายโดรน ถึงจะจำหน่ายได้ กฎหมายที่เคยเป็นเพียงข้อบังคับตามระเบียบจึงถูก “ส่องสปอตไลต์” ขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้ทุกฝ่ายต้องระมัดระวังและปฏิบัติตามอย่างเข้มงวดกว่าเดิม นับเป็นสัญญาณว่าการบินโดรนในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ยุคแห่งความรับผิดชอบและมาตรฐานความปลอดภัยที่จริงจังยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงกิจกรรมเพื่อความสนุกเหมือนในอดีตอีกต่อไป
ดังนั้น ก่อนจะหยิบรีโมตขึ้นมาบังคับโดรนทุกครั้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือ “ต้องรู้กฎหมาย” เพราะ
โดรนทุกลำที่มีกล้องติดตั้งถือเป็นอากาศยานไร้คนขับ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ การใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจมีโทษทั้งจำและปรับ บทความนี้จึงจะพาคุณทำความเข้าใจให้ชัดว่ากฎหมายไทยกำหนดไว้อย่างไร ต้องขออนุญาตจากที่ไหน และควรระวังเรื่องใดบ้างก่อนเริ่มบินอย่างปลอดภัยและถูกต้อง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบินโดรน

การใช้งานโดรนในประเทศไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ควบคุมเพียงอย่างเดียว แต่มีหลายหน่วยงานของรัฐที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้การบินเป็นไปอย่างปลอดภัย ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่กระทบต่อระบบสื่อสารของประเทศ โดยแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่เฉพาะที่เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ระดับคลื่นสัญญาณไปจนถึงความปลอดภัยทางอากาศและการคุ้มครองความเสียหาย

สำนักงาน กสทช. – ดูแลเรื่องคลื่นสัญญาณสื่อสาร

จุดเริ่มต้นของการอนุญาตใช้งานโดรนอยู่ที่ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลเรื่อง “คลื่นความถี่วิทยุ” ที่โดรนใช้ในการสื่อสารกับรีโมตควบคุมและการส่งภาพกลับมายังผู้ใช้งาน
โดรนทุกลำต้องใช้สัญญาณไร้สายเพื่อควบคุมทิศทาง บันทึกภาพ หรือส่งข้อมูล ซึ่งคลื่นเหล่านี้ถือเป็น “ทรัพยากรของชาติ” การใช้งานโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจไปรบกวนสัญญาณโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต หรือระบบสื่อสารของหน่วยงานอื่นได้ ดังนั้น กสทช. จึงมีหน้าที่ตรวจสอบและอนุมัติให้ใช้คลื่นความถี่อย่างถูกต้อง เพื่อให้การควบคุมโดรนเป็นไปอย่างปลอดภัยและไม่กระทบต่อระบบสื่อสารในประเทศ

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) – ควบคุมความปลอดภัยและการอนุญาตบิน

เมื่อผ่านการรับรองด้านคลื่นสัญญาณจาก กสทช. แล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการยื่นขออนุญาตขึ้นบินกับ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบด้าน “ความปลอดภัยทางอากาศ” ของประเทศทั้งหมด
CAAT มองว่าโดรนเป็นอากาศยานขนาดเล็กที่มีศักยภาพเทียบเท่าเครื่องบินในแง่ของความเสี่ยงต่อผู้คนและทรัพย์สิน จึงได้กำหนดมาตรฐานการขึ้นทะเบียนและควบคุมอย่างเข้มงวด ผู้ที่ต้องการบินโดรนจำเป็นต้องขึ้นทะเบียนทุกลำที่มีกล้องถ่ายภาพ หรือมีน้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัม รวมถึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเรื่องการอบรมหรือสอบใบอนุญาต หากต้องการใช้งานในเชิงพาณิชย์หรือพื้นที่พิเศษ
การอนุญาตของ CAAT ยังครอบคลุมถึงการกำหนดเขตห้ามบิน การตรวจสอบความปลอดภัยก่อนบิน และการบังคับใช้ประกันภัยโดรน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการคุ้มครองบุคคลภายนอกในกรณีเกิดอุบัติเหตุ

บริษัทประกันภัย – กลไกเสริมสร้างความมั่นใจด้านความปลอดภัย

อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่เชื่อมโยงกับการอนุญาตของ CAAT คือ บริษัทประกันภัย ผู้ใช้งานโดรนทุกคนที่ยื่นขออนุญาตจะต้องมี ประกันภัยความรับผิดต่อบุคคลภายนอก (Third-Party Liability Insurance) เพื่อให้ครอบคลุมกรณีเกิดอุบัติเหตุระหว่างบิน เช่น โดรนตกใส่รถ หรือสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น
บริษัทประกันภัยจึงทำหน้าที่เป็น “ชั้นป้องกันสุดท้าย” ที่ช่วยคุ้มครองทั้งผู้ควบคุมและผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการใช้งาน นอกจากนี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การอนุญาตของ CAAT มีความสมบูรณ์ในแง่ของความรับผิดชอบต่อสังคม

กล่าวโดยสรุป ทั้งสามหน่วยงาน — กสทช., CAAT และบริษัทประกันภัย — ทำงานร่วมกันเป็นระบบเดียวกันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อให้การใช้งานโดรนในประเทศไทยอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ชัดเจน มีความปลอดภัย และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

มีใบอนุญาตแล้ว ไม่ได้แปลว่าบินได้ทุกที่

แม้จะผ่านการอบรมและได้รับใบอนุญาตจาก CAAT แล้วก็ตาม ผู้ใช้งานโดรนไม่ได้มีสิทธิ์บินได้ทุกพื้นที่อย่างอิสระ เพราะระบบการกำกับดูแลโดรนในประเทศไทยมีความเข้มงวดและเชื่อมโยงกันในระดับเทคโนโลยี
โดรนที่ขึ้นทะเบียนทุกลำจะมี หมายเลขประจำเครื่อง (Drone ID) ซึ่งสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงเจ้าของได้ และในหลายรุ่นโดยเฉพาะแบรนด์ระดับสากลอย่าง DJI มีระบบ “Remote ID” หรือ Tracking System ที่ส่งข้อมูลการบินแบบเรียลไทม์ เช่น หมายเลขเครื่อง รุ่นโดรน พิกัดการบิน ความสูง รวมถึงชื่อผู้ควบคุม ไปยังฐานข้อมูลของหน่วยงานรัฐโดยอัตโนมัติ เมื่อบินอยู่ในพื้นที่อ่อนไหว เช่น เขตพระราชวัง สนามบิน หรือหน่วยงานทางทหาร ระบบจะแจ้งเตือนทันที และในบางกรณี หากฝ่าฝืนจริง เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตำแหน่งและเข้าควบคุมตัวได้ภายในเวลาไม่กี่นาที
  1. เขตหวงห้ามและพื้นที่ต้องระวัง

กฎหมายไทยกำหนดพื้นที่ห้ามบินไว้อย่างชัดเจน ได้แก่

  • เขตพระราชวัง สถานที่ราชการ และพื้นที่ทางทหาร
  • สนามบินและบริเวณโดยรอบในรัศมี 9 กิโลเมตร
  • พื้นที่ชุมชนหนาแน่น งานอีเวนต์ หรือสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก

แม้แต่พื้นที่ธรรมดา เช่น สวนสาธารณะหรือชายหาด ก็อาจอยู่ใน “เขตจำกัดการบิน” ได้หากอยู่ใกล้สถานที่ราชการหรือสนามบินย่อย ผู้ใช้งานจึงควรตรวจสอบแผนที่เขตห้ามบินผ่านแอปพลิเคชันที่ CAAT รับรองก่อนทุกครั้ง

  1. การขออนุญาตบินทำได้ผ่านแอปพลิเคชัน
ปัจจุบัน CAAT ได้พัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับการขออนุญาตบินโดรนในแต่ละพื้นที่ เช่น Sky Lane / Drone Portal / Drone @CAAT (ขึ้นอยู่กับเวอร์ชันที่เปิดให้ใช้ในขณะนั้น) โดยผู้ใช้งานสามารถกรอกพิกัดและเวลาที่ต้องการบิน เพื่อรอการอนุมัติจากเจ้าหน้าที่
การพิจารณาใช้เวลาประมาณ 3–7 วันทำการ สำหรับพื้นที่ทั่วไป และอาจนานกว่านั้นในเขตเมืองหรือพื้นที่พิเศษ การขออนุญาตล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการบินโดยไม่ได้รับอนุมัติในพื้นที่ควบคุมถือเป็นความผิดทางกฎหมาย แม้ว่าจะมีใบอนุญาตผู้ควบคุมอยู่แล้วก็ตาม
  1. ขออนุญาตถูกต้อง แต่บินผิดเงื่อนไขก็ผิดกฎหมาย

แม้จะได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง แต่หากบิน “ผิดเงื่อนไข” ก็ยังถือว่าผิดกฎหมายเช่นกัน ตัวอย่างเช่น

  • บินสูงเกิน 90 เมตรจากพื้นดิน
  • บินนอกสายตาผู้ควบคุม (Beyond Visual Line of Sight: BVLOS)
  • บินเข้าใกล้บุคคลหรือสิ่งปลูกสร้างในระยะต่ำกว่า 30 เมตร
  • บินในเวลากลางคืนโดยไม่ได้รับอนุญาตพิเศษ
การฝ่าฝืนอาจถูกปรับสูงสุด 40,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเกิดความเสียหายกับบุคคลภายนอก ผู้ควบคุมยังต้องรับผิดชอบทางแพ่งและอาญาเพิ่มเติม

ยุ่งยากไปไหม ต้องการใช้งาน แต่รู้สึกซับซ้อนจัง

หลายคนอาจมองว่าการใช้งานโดรนยุ่งยากเกินไป ทั้งต้องขึ้นทะเบียน ขออนุญาต และทำประกันภัย แต่ในความเป็นจริง กฎหมายเหล่านี้มีขึ้นเพื่อ ปกป้องทั้งผู้ใช้งานและสังคมส่วนรวม เพราะโดรนคือเทคโนโลยีที่ทรงพลังมาก สามารถบินได้สูง ไกล และบันทึกภาพได้ละเอียด หากไม่มีการควบคุม ก็อาจรบกวนเส้นทางการบินของเครื่องบิน ละเมิดพื้นที่ทางทหาร หรือกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ

การมีกฎหมายจึงไม่ใช่การปิดกั้น แต่คือ “กรอบความปลอดภัย” ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้โดรนได้อย่างมั่นใจและสร้างสรรค์ได้เต็มศักยภาพ เมื่อวางแผนและทำขั้นตอนให้ถูกต้อง ทุกอย่างสามารถดำเนินการออนไลน์ได้ง่ายและรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถขึ้นบินได้อย่างถูกกฎหมาย พร้อมสร้างประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเพื่อการทำงาน การเกษตร หรือการสร้างคอนเทนต์คุณภาพ

บินอย่างมั่นใจ ถูกกฎหมาย และครบวงจร

สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นใช้งานโดรนอย่างถูกต้องและมั่นใจ EC MALL หนึ่งในตัวแทนหลักที่จำหน่าย โดรน DJI ในประเทศไทย พร้อมให้บริการครบทุกขั้นตอนในรูปแบบ One Stop Service ทั้งสำหรับบุคคลทั่วไปและนิติบุคคล ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราพร้อมให้คำปรึกษาเรื่องการเลือกโดรน การยื่นขออนุญาตขึ้นทะเบียน และการจัดทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนด โดยกระบวนการทั้งหมดสามารถดำเนินการได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน ทำให้คุณเริ่มบินได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสาร
EC MALL จำหน่ายโดรนทุกระดับ ตั้งแต่รุ่นเล็กอย่าง DJI Mini Series สำหรับผู้เริ่มต้น, DJI Air และ Mavic Series สำหรับครีเอเตอร์และมืออาชีพ, ไปจนถึง DJI FPV Series สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์บินในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง (First Person View) ที่ทั้งสนุกและท้าทาย นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม DJI Enterprise เช่น DJI Agras และ Matrice Series สำหรับงานอุตสาหกรรมและภาคเกษตร โดย EC MALL สามารถประสาน ผู้เชี่ยวชาญจาก DJI เข้าพบลูกค้าเพื่อให้คำแนะนำเชิงเทคนิคหรือนำเสนอผลิตภัณฑ์ (Presentation) โดยตรง เพื่อให้แต่ละองค์กรได้รับโซลูชันที่เหมาะสมที่สุด พร้อมกันนี้ เรายังจัดกิจกรรม Workshop ร่วมกับ DJI แทบทุกเดือน เพื่อให้ลูกค้าได้เรียนรู้และสัมผัสการใช้งานจริงจากผู้เชี่ยวชาญ

 

  • Tiktok
  • Youtube
  • Youtube